“ไพบูลย์” ลั่นไร้กังวล “ตลาดหุ้นไทย” สภาพคล่องการเงินโลกสูง
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ลั่นไร้กังวล “ตลาดหุ้นไทย” ช่วงที่เหลือของปี 66 ด้วยสภาพคล่องการเงินโลกสูงมาก พร้อมกับให้กลุ่มหุ้นที่มีโอกาสต้องไปกับภาคเศรษฐกิจที่โต เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม ค้าปลีก สนามบิน ธนาคารพาณิชย์
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวในงานสัมมนา “Battle Strategy แผนฝ่าวิกฤติ พิชิตสงคราม EPISODE V : วิกฤติมาทุกทิศ โอกาสมีทุกทาง” ว่าช่วงที่เหลือของปี 2566 ไม่ค่อยห่วงเรื่องตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะสภาพคล่องในระบบการเงินโลกยังสูงมาก ประกอบกับภาคธุรกิจไม่ได้เอาสภาพคล่องไปใช้ โดยทุกธนาคารทุกคนเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจโลกจะไปต่อได้หรือไม่ วันนี้ก็ wait & see ในภาคสถาบันการเงิน การปล่อยกู้ชะลอลงไป แม้ในประเทศไทยการปล่อยกู้บางแบงก์เริ่มติดลบ แปลว่าสภาพคล่องในระบบการเงินสูงมากๆ
ส่วนพฤติกรรมนักลงทุน 2 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกจะเป็นการ move เงินตลอดเวลา ตรงไหนมีเรื่องดีก็เอาเงินไปรอไว้ ถ้าเรื่องราวหมดกำไรเยอะก็จะถอยออกมา
อีกทั้งช่วงปีที่แล้วเรื่องข้างนอกไม่ดีเท่าไหร่ เงินมาอยู่ที่ประเทศไทยทำให้ outperform ปีนี้ถอยออกจากบ้านเรา เพราะที่อื่นดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งไม่ชอบดอกเบี้ยขาขึ้น พอปีนี้ดอกเบี้ยกำลังจะลงเงินก็กลับเข้าไป ส่วนบ้านเรามีเรื่องในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่คิดว่าเป็นจุดขายแต่สุดท้ายไม่ใช่ ทำให้ผู้ลงทุนต่างประเทศ และผู้ลงทุนในประเทศ มองว่าต้องลดความเสี่ยง
ขณะที่ครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยจะขึ้นหรือไม่ 2 รอบ ได้แก่ 1) ดอกเบี้ยสหรัฐฯ และ 2) จีนจะฟื้นขนาดไหน มองว่าเงินที่อยู่ในสหรัฐฯ ครึ่งปีแรกที่ได้กำไรไป 15% โดยเฉลี่ยที่เข้าไปหุ้นเทคโนโลยี เงินเหล่านี้พร้อมถอยกลับมา ที่สำคัญคือรอบของจีนว่าจะฟื้นขนาดไหน ถ้าฟื้นได้จริงเงินจะเข้ามา
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทย ด้านเศรษฐกิจไม่มีปัญหา แต่รัฐบาลจะเป็นแบบไหนขึ้นอยู่ว่านโยบายจะเป็นมิตรหรือไม่กับภาคธุรกิจ ซึ่งตรงนี้สำคัญ นโยบายระยะยาวจะเป็นอย่างไร คงยังเน้นภาพเศรษฐกิจระยะสั้นที่เป็นจุดขาย เช่น การท่องเที่ยว ผลประกอบ บจ. ในครึ่งปีหลังน่าจะฟื้น มีเรื่องเดียวคือการเมืองต้องเอาให้ชัดเจน
นอกจากนี้ กลุ่มหุ้นที่มีโอกาสต้องไปกับภาคเศรษฐกิจที่โต เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม ค้าปลีก สนามบิน ธนาคารพาณิชย์ สำหรับกลุ่มเสี่ยงคือที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ปิโตรเคมี ที่ขึ้นอยู่กับ demand ทั่วโลกจะได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม วันนี้ ถ้าไทยได้รัฐบาลดี นโยบายที่สามารถทำให้ประเทศไทยกลับไปเติบโตได้ มี Growth Engine ใหม่ และเอาเศรษฐกิจเป็นตัวนำ ให้โตเท่าสิงคโปร์ มาเลเซีย จะทำให้เงินไหลเข้ามา ถ้า 3 ปัจจัยนี้ดี จากการ survey นักวิเคราะห์คิดว่าดัชนีเฉลี่ย 1,630 จุด
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไม่ได้เจาะจงเฉพาะบุคคลว่าเป็นใคร แต่แค่อยากให้ประเทศไทยไปได้ มีความเป็นเอกภาพ และให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสูง และนโยบายเป็นมิตรกับเศรษฐกิจ เป็นนโยบายระยะยาวที่ขับเคลื่อนตัวเองได้