I2 ระดมทุนรุกหนัก “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น-พลังงาน” จ่อเข้าเทรด mai ไตรมาส 3
I2 รุกหนัก “ดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่น-พลังงาน” เตรียมนำเงินไปลงทุนในงานบริการโครงการขนาดใหญ่แก่ลูกค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน คาดเตรียมเข้าเทรดตลาด mai ไตรมาส 3/2566
นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ I2 เปิดเผยว่า บริษัทได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (par) 0.50 บาทต่อหุ้น จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าอาจเข้าซื้อขายในช่วงไตรมาส 3/2566 อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยี (TECH) โดยมี บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด และบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ประกอบธุรกิจ System Integration (SI) ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร โทรคมนาคม และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการติดตามดูแลรักษาและการให้การฝึกอบรมแก่ผู้ใช้งานและการให้บริการอื่นๆ โดยสามารถจำแนกประเภทธุรกิจหลักเป็น 2 ประเภทตามโครงสร้างรายได้ คือ 1) การขายและบริการงานโครงการ และ 2) การให้บริการอินเทอร์เน็ต
สำหรับเงินระดมทุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อตรียมนำเงินไปลงทุนในงานบริการโครงการขนาดใหญ่แก่ลูกค้า ซึ่งคาดว่าจะเป็นธุรกิจดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่นและพลังงาน สร้างการเติบโตให้กับบริษัท และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสร้าง New S Curve รองรับแผนการเติบโตในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
โดยได้เล็งเห็นโอกาสในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยควบคุมให้เกิดการประหยัดพลังงานไฟฟ้า จึงได้เริ่มดำเนินธุรกิจด้านการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โดยได้รับความไว้วางใจจากการไฟฟ้านครหลวง (PEA) เพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์และระบบที่ช่วยในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าสำหรับไฟถนนประเภทโคมไฟเสาสูง (High Mast) ในพื้นที่ภายใต้การดูแลของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม โดยได้รับความเห็นชอบด้านความปลอดภัยจากกรมทางหลวงชนบท ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาอุปกรณ์และระบบบำรุงรักษาด้วยเทคโนโลยี IoT ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ให้บริการให้เช่าช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคมเพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึงจัดหาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้บริการจัดทำรายงานวิเคราะห์ประสิทธิภาพสัญญาณ เพื่อให้บริการตามโครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ (USO1 หรือ USO Zone C+)
โดยวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว คือ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความเสมอภาค ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเน็ตประชารัฐของรัฐบาล เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 สร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนและชุมชน ด้านการพัฒนาสร้างรายได้ให้กับชุมชน
รวมถึงได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่งจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
นอกจากนี้บริษัทจะทำงานกับภาครัฐทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ มองเป้าหมายของประเทศ อีกทั้งมีพื้นฐานแกร่งไม่กระทบกระแสเงินสด ซึ่งสถาบันการเงินซัพพอร์ตอย่างดี
อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่เดิมอย่าง บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC กล่าวว่าจะมีการทำบิ๊กล๊อตซื้อหุ้นคืนตามยื่นในไฟลิ่ง โดยก่อนการเสนอขาย IPO มีจำนวน 45,000,000 หุ้น สัดส่วน 15% ซึ่งหลังจากเสนอขายหุ้น IPO จำนวนหุ้นยังคงอยู่เท่าเดิม แต่สัดส่วนลดลงเหลือ 10.71% จึงทำให้ MFEC จะเข้าทำการซื้อหุ้นผ่านบัญชีบิ๊กล็อตในวันซื้อขายวันแรก เพื่อต้องการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นให้อยู่ที่ระดับ 15% คงเดิม แต่จะส่งผลให้ MFEC มีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 63,000,000 หุ้น
ด้านผลการดำเนินงานในงวดสิ้นปี 2565 มีรายได้รวม 943.38 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 44.98 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 1/66 มีรายได้รวม 300.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138.39% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 126.18 ล้านบาท และไตรมาส 1/66 มีกำไรสุทธิ 17.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202.48% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5.63 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการปี 2562-2564 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ ซึ่งในช่วงปี 2562 อยู่ที่ 204.05 ล้านบาท เติบโต 189.38% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ถัดมาในปี 2563 มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 645.41 ล้านบาท เติบโต 216.30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2564 มีรายได้ขายและบริการอยู่ที่ 1,363.71 ล้านบาท เติบโต 111.29% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่มีกำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 23.59 ล้านบาท เติบโต 11.41% ถัดมาปี 2563 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 41.57 ล้านบาท เติบโต 6.43% และในปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 80.56 ล้านบาท เติบโต 5.91%