“ก.ล.ต.” ปรับเกณฑ์ตั้ง-ย้ายสำนักงาน เพิ่มความคล่องตัว-ลดขั้นตอนผู้ประกอบธุรกิจ

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาตจัดตั้ง หรือย้ายสำนักงานหรือสาขาของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดกระบวนการในการขออนุญาตโดยยังคงคุ้มครองผู้ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ตามที่ ก.ล.ต. ดำเนินโครงการ Regulatory Guillotine* มาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าสามารถปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาตจัดตั้ง ย้ายสำนักงานหรือสาขาของผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ลดกระบวนการและลดภาระในการดำเนินการให้แก่ภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันคุ้มครองผู้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยคณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท) ในการประชุมครั้งที่ 10/2565 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2565 มีมติเห็นชอบหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ว่าด้วยการมีสำนักงานสาขาและการย้ายที่ตั้งสำนักงานของผู้ประกอบธุรกิจ และ ก.ล.ต. ได้เห็นชอบหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ว่าด้วยการย้ายที่ตั้งสำนักงานของผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งจัดให้มีการเปิดรับฟังความเห็นต่อหลักการและร่างประกาศหลักเกณฑ์ดังกล่าวจากบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้สนใจเมื่อช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2566 โดยนำความเห็นที่รวบรวมได้มาประกอบการกำหนดและปรับปรุงหลักเกณฑ์ไปแล้วนั้น

ดังนั้นก.ล.ต. จึงเสนอให้กำหนดและปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาตจัดตั้ง ย้ายสำนักงาน/หรือสาขาของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้

1.กำหนดให้ใช้หลักการ auto approved ในการพิจารณาอนุญาตจัดตั้งสำนักงานสาขาในต่างประเทศเช่นเดียวกับสาขาในประเทศ

2.ยกเลิกการกำหนดขอบเขตการดำเนินการของสำนักงานผู้แทนของผู้ประกอบธุรกิจไทยในต่างประเทศ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศนั้น ๆ กำหนด

3.เพิ่มความยืดหยุ่นในการแต่งตั้งรักษาการแทนผู้จัดการสาขาในประเทศ

4.ให้แจ้งผังที่ตั้งสาขาและแผนการดำเนินการ ที่แสดงให้เห็นว่าลูกค้าได้รับทราบถึง “การปิดสาขา” หรือ “การย้ายสาขา” เพื่อให้มั่นใจว่าสาขาตั้งอยู่ในสถานที่ที่ผู้ลงทุนเข้าถึงได้ และมีการดูแลลูกค้าให้รับทราบ “การปิดสาขา” หรือ “การย้ายสาขา” ล่วงหน้า ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการแจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับการใช้บริการของลูกค้าด้วย

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาตจัดตั้ง ย้ายสำนักงานหรือสาขาของผู้ประกอบธุรกิจตามข้างต้น จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป