คัด 15 หุ้น ขวัญใจ “ต่างชาติ” ไล่ซื้อสะสม

3 กลุ่มนักลงทุนใหญ่ “ต่างชาติ-กองทุน-โบรกเกอร์” พร้อมใจไล่ซื้อหุ้นเข้าพอร์ต 4 วันติด ฝากบล.เอเซียพลัส ชื่นชอบ แนะนำหุ้นที่ต่างชาติทยอยซื้อสะสมชู KBANK-ADVANC-SCC-PTTEP-SIRI น่าสนใจสุด


สถานการณ์ตลาดหุ้นเอเชียในช่วงระหว่างวันที่ 14-18 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา พบว่ามีเม็ดเงินต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียทุกประเทศ ทั้งไต้หวัน, เกาหลีไต้, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, รวมถึงตลาดหุ้นไทย ที่ต่างชาติซื้อสะสม 114 ล้านเหรียญหรือ 3.9 พันล้านบาท พร้อมหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นช่วง 3 วันทำการดังกล่าวมา 41 จุด หรือ 2.97%

ผลพ่วงดังกล่าวยังเป็นบวกต่อเนื่องให้ตลาดหุ้นไทยวานนี้ 19 ก.ค. 2566 ปรับตัวขึ้นไปปิดที่ระดับ 1,536.64 จุด บวก 1.34 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.18 หมื่นล้านบาท ดังนั้นหากดูการกลับมาซื้อของนักลงทุนต่างชาติ 4 วันทำการ รวมถึงกลุ่มกองทุนและโบรกเกอร์ จึงส่งผลให้ดัชนีบวกไปแล้ว 42.62 จุด หรือ 2%

สำหรับการไหลข้าวของ Fund Flow ในตลาดหุ้นไทยจาก 3 กลุ่มนักลงทุนใหญ่พร้อมกัน 4 วันติด (ระหว่าง 14-19 ก.ค.66) เริ่มจากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสะสมสูงสุด 3,921.17 ล้านบาท  รองลงมา คือกองทุนในประเทศ (กองทุน) ซื้อสุทธิสะสม 2,942.45 ล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์  (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิสะสม 778.67 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปดูในอดีตจะเห็นว่าไม่บ่อยนักที่จะเห็นการซื้อสุทธิพร้อมกันของทั้ง 3 กลุ่ม (ต่างชาติ, กองทุน, โบรกเกอร์)  และจากสถิติในปีนี้ยังบ่งชี้ว่า เวลาที่ทั้ง 3 กลุ่มซื้อสุทธิพร้อมกัน มักผลักดันให้ SET Index มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเฉลี่ย 0.84% ต่อวัน และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป้นบวกสูงถึง 80%

จากข้อมูลข้างต้น บล.เอเซียพลัส ระบุว่า Fund Flow ต่างชาติที่กลับมาไหลเข้าหุ้นไทย ผนวกกับกองทุนและพอร์ตโบรกเกอร์คอยสนับสนุน ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยได้ดี และในช่วงต่อจากนี้ยังมี Momentum ที่ช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง จากค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อ และหากการเมืองมีเสถียรภาพและสามารถจัดตั้งได้เร็ว และ Fund Flow มีโอกาสไหลเข้ามาเพิ่มเติมกว่าปกติ หากพรรคเพื่อไทยพลิกมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล สะท้อนได้จาก ข้อมูลในอดีต เวลาเลือกตั้ง แล้วพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล SET Index มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีเสมอ

ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้นที่ต่างชาติชื่นชอบและซื้อสุทธิสะสมในช่วงที่ 14-18 ก.ค. 2566 สูงสุด 15 อันดับแรก ได้แก่ BDMS, KBANK, AOT, ADVANC, BH, SCC, BBL, BCP, AP, SISB, HMPRO, PTTEP, OR, HANA และ SIRI  เป็นต้น

ขณะที่จากรายชื่อดังกล่าวฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบตัวหลักอย่าง KBANK, ADVANC, SCC, PTTEP และ SIRI

โดยจากหุ้นดังกล่าวไม่เท่านั้น ยังมีความน่าสนใจนอกเหนือจากที่ต่างชาติเข้าซื้อสุทธิสะสมแล้ว คือแนวโน้มผลประกอบการยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งตัวอย่างเช่น บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ทางบล.ดาโอ คาดกำไรไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2.84 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการฟื้นตัวของผู้ป่วย Non-Covid ทั้งไทยและต่างชาติ พร้อมกับเชื่อว่าจะเร่งตัวอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3/2566 และไตรมาส 4/2566

พร้อมทั้งประเมิน Flow ต่างชาติทยอยซื้อ BDMS ต่อเนื่อง โดยระดับ MTD (อิงข้อมูล ณ วันที่ 17 ก.ค.) มียอดซื้อสะสมต่างชาติในหุ้นถึง 2.15 พันล้านบาท

นอกจากนี้มีการประเมินกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 1.32 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และในปี 2567 ประเมินกำไรสุทธิอยุ่ที่ 1.51 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน  อีกทั้งให้เป้าเชิงกลยุทธ์ “ทยอยซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ทางบล.ฟิลลิป ประเมินว่าไตรมาส 3/2566 กำไรอยู่ที่ 3,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 246.30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 73.60% จากไตรมาสก่อน สำหรับกำไรที่ดีขึ้นมาจากการเดินทางฟื้นตัวและไม่ต่อมาตรการช่วยเหลือผุ้ประกอบการ โดยในไตรมาส 3/2566 เที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 49.50% และเพิ่มขึ้น 243% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ที่ 0.16 ล้านเที่ยวและ 13.94 ล้านคน ตามภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว

อีกทั้งไม่ต่อมาตรการช่วยเหลือให้ส่วนลดกับผู้ประกอบการที่จบไป 31 มี.ค. 66 และปรับวิธีคิดส่วนแบ่งรายได้จากกลุ่มคิงเพาเวอร์รับรู้รายได้ได้สูงขึ้น คาดรายได้ที่ 12,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 177% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ต้นทุนคาดทรงจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ตามการดำเนินงานที่กลับมาดีขึ้น และ SG&A เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 29.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากการตั้งสำรองโบนัสและพนักงานที่เพิ่มขึ้นของบริษัทย่อย     

 ปกติไตรมาส 4 จะดีกว่าไตรมาส 3 ตามฤดูกาล เที่ยวบินและผู้ โดยสารจะสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน อย่างไรก็ตามไตรมาส 4 มักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น จากโบนัสที่เกินกว่าที่ตั้งสำรองไว้และการปรับค่าใช้จ่ายระหว่างปี โดยทั้งปีทำงฝ่ายปรับคาดกำไรปี 2566 เป็น 9,047 ล้านบาท และก้าวกระโดดในปี 2567 จากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่องและไม่มีมาตรการช่วยเหลือแล้ว และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 81 บาท

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ทางบล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ประเมินว่ากำไรไตรมาส 2/2566 สดใส ตามภาวะการแข่งขันที่ผ่อนคลาย โดยประมาณการกำไรจากธุรกิจปกติเติบโต 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 8% จากไตรมาสก่อนเป็น 7.21 พันล้านบาท รายได้จากบริการหลักยังคงเติบโตเป็น 3.39 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อจากงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.1% จากไตรมาสก่อน ตามการขยับขึ้นของ ARPU ทั้งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และ FBB หลังการปรับโครงสร้างราคาแพ็กเกจ และประเมินราคาพื้นฐานปี 2566 ที่ 228 บาท

บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ทาง บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ประเมินว่ารายได้ไตรมาส 2/2566 ยังเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนโต 2 หลัก และกำไรครึ่งหลังปี 2566 มีแนวโน้มสดใส เติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล และ pent-up demand จากจีน

นอกจากนี้ยังเตรียมแผนสร้างรพ.แห่งที่ 2 ที่ภูเก็ตสิ้นปีนี้ และเปิดปี 2567 รองรับผุ้ป่วยต่างชาติในระยะยาว แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 280 บาท

Back to top button