PTG ยอดขาย “นอนออยล์-น้ำมัน” โตต่อเนื่อง-ก๊าซ LPG ครัวเรือนแกร่ง
PTG เล็งขยายธุรกิจนอนออยล์ต่อเนื่อง เสริมแกร่งผลประกอบการแท้ธุรกิจน้ำมัน ขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยให้ได้ปีนี้ตามเป้า 1,500 สาขา สถานีชาร์จรถอีวีปีนี้ราว 60-70 สาขา เร่งติดตั้งโซลาร์รูฟให้ได้ปีนี้ประมาณ 60 สาขา ฟากก๊าซ LPG ครัวเรือนมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 50% สร้างกำไรแข็งแกร่ง
นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า อาจต้องเดินหน้าทำ CSR ในโซ่นภาคใต้ในรอบหน้ามากขึ้นหลังจากได้รับใบอนุญาตโรงไฟฟ้าขยะ ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อจะได้อธิบายให้ประชาชนรู้ว่าจะช่วยกำจัดมลพิษ ไม่ใช้สร้างมลพิษ และไม่ได้ช่วยชุมชนในพื้นที่อย่างเดียวแต่ยังสามารถช่วยประชาชนทั้งจังหวัดที่ได้นำขยะมากำจัด
ขณะเดียวกันยังมีโรงงานไบโอดีเซลธุรกิจน้ำมันปาล์มอยู่ที่บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเข้าไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านและชุมชนว่าโรงงานดังกล่าวเป็นสมัยใหม่ที่ไม่ต้องปล่อยน้ำเสียออกมา แต่จะนำมาใช้ใหม่ ดังนั้นการเดินหน้า CSR จะทำให้ประชาชนได้รู้ในการสิ่งจัดการที่ถูกต้อง และให้เกิดการสร้างงานในชุมชนอีกด้วย
นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของค่าการตลาดของบริษัท PTG จะอ่อนตัวกว่าทิศทางของภาครัฐ เนื่องจากว่าราคาน้ำมันตลาดโลกสูงด้วย และก็ราคาน้ำมันหน้าสถานียังไม่กลับตัวจากที่ลดลงมา แล้วยังไม่กลับตัวขึ้นไปอีก ดังนั้นกองทุนน้ำมันยังไม่ปรับเปลี่ยนจึงทำให้ค่าการตลาดในช่วงเวลานี้อ่อนตัวจากการพูดคุยกับภาครัฐนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตามทาง PTG พยายามเข้าไปพูดคุยกับภาครัฐว่าหากเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งจะส่งผลกระทบระยะยาว แต่อย่างไรก็ดีทาง PTG มีการสนับสนุนประชาชนส่วนหนึ่ง โดยมีการพูดคุยกับภาครัฐมาตลอดอยู่แล้วว่าให้มีการจัดการช่วยเหลือให้เหมาะสม
นอกจากนี้ทาง PTG มีการปรับสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและดีเซล แต่ต้องเรียนว่า PTG มีลูกค้าเชิงพาณิชย์เยอะ และสัดส่วนการใช้น้ำมันก็เป็นดีเซลเป็นหลัก และกระจายทั่วภูมิภาคไม่ใช้อยู่เฉพาะในตัวเมือง จึงส่งผลให้ยอดใช้น้ำมันดีเซลมากนั้นเอง ดังนั้นมาทำอย่างไรเกี่ยวกับกรบริหาร และน้ำมันเวทเจ็ดเอวันก็มีการใช้กันเยอะมาก แต่อย่างไรก็ตามทาง PTG จะเดินหน้ารุกในส่วนของนอนออยล์มากขึ้นเพื่อมาทดแทนในส่วนของออยล์อยู่แล้ว เพราะก๊าซ LPG มันจะมีกำไรมากกว่าน้ำมัน และร้านกาแฟที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 700 สาขาแล้ว และตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2566 ให้ใกล้เคียง 1,500 สาขา
“สำหรับครึ่งปีแรกในส่วนของนอนออยล์มียอดขายสูงขึ้น แต่ภาคน้ำมันจริงๆแล้ว มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่มีเพียงค่าการตลาดเข้ามากดดันเท่านั้น พร้อมกับการจัดการในส่วนของภาษียังเป็นปัจจัยกดดันเช่นกัน และภาษีที่เข้ามาทาง PTG บอกเลยว่าก่อนหน้าไม่เคยเจอ มีเพียงประสบที่ว่าราคาน้ำมันหน้าสถานีปรับขึ้นทีเดียว 5 บาท หรือภาษีปรับทีเดียว 4-5 บาทก้ไม่เคยเจอแต่เจอสูงสุดประมาณ 2-3 บาท รัฐก็ต้องหาวิธีการชดเชยไม่ใช้ว่าจะให้ผู้ประกอบการต้องมาแบกรับ อีกอย่างหนึ่งควรลดกองทุนลง เพิ่มอัตราภาษี เป็นต้น ซึ่งกลไกลเหลาะนี้เป็นทางเลือกของภาครัฐที่เข้ามาสนับสนุน” นายรังสรรค์ กล่าว
ส่วนในแง่ของยานยนต์ไฟฟ้ามีการเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนม.ค. 2566 ที่ผ่านมามีสัญญาณที่ดี ดังนั้นจากที่ PTG ได้ร่วมมือกับ กฟภ. มีการติดตั้งสถานีอีวีอยู่ในสถานีบริการของ PTG อยู่ประมาณ 47 สาขาทั่วประเทศเป็นแบบฟาชาร์จทั้งหมด 120 กิโลวัตต์ และสามารถเห็นการโตของการใช้บริการรถไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการเติบโตมีระยะ และจะเห็นการใช้ในต่างจังหวัดมากขึ้น ดังนั้นคาดว่าจะมีการขยายที่ชาร์จเพิ่มตามแผ่นกับกฟภ.ว่าสิ้นปี 2566 จะมีประมาณ 60-70 สาขา แล้วมีการพิจารณาเพิ่มปีหน้าตั้งเป้าไว้เป็น 100 สาขา
นอกจากนี้ในส่วนของคาบอนทาง PTG เดินหน้าทำอย่างต่อเนื่องเพื่อลดภาวะเรือนกระจก โดยได้มีการติดตั้งโซลาร์รูฟตามสถานีของบริษัทมากขึ้น โดยปีนี้จะติดตั้งประมาณ 60 สาขา จากเดิมที่มีการติดตั้งไปแล้วราว 37 สาขา ขึ้นอยู่กับการคุมค่าของการลงทุน
นายรังสรรค์ กล่าวต่ออีกว่า ขณะที่การขนส่งน้ำมันจะผ่านท่อมากขึ้น โดยท่อทางเส้นภาคอีสารเริ่มใช้ได้แล้ว ส่วนทางภาคเหนือขนส่งทางท่อพอสมควรแล้ว อีกทั้งทาง PTG พยายามทำเกี่ยวกับคาบอนไปด้วยโดยเฉพาะการปลูกป่า
สำหรับร้านกาแฟพันธ์ไทยบริษัทตั้งเป้าปีละ 1,000 สาขา แต่คาดว่าประมาณ 5 ปีข้างหน้าอาจจะเห็นร้านกาแฟพันธ์ไทยประมาณ 4,000-5,000 สาขา ด้วยโมเดลแฟรนไซส์เข้ามาช่วยเสริม
ขณะที่สัดส่วนการใช้ก๊าซ LPG ในภาคโอโต้มีสัดส่วน 30-40% ส่วนภาคครัวเรือน 50% และอีกเล็กน้อยเป็นภาคอุตสาหกรรม อย่างไรตามก็จะเห็นว่าภาคครัวเรือนใหญ่ขึ้นมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แล้วยังสามารถทำกำไรค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจน้ำมันปาล์มถ้าไม่เกิดปัญหาอย่างไรอีกประมาณ 3-4 เดือนข้างหน้าธุรกิจนี้จะมีทิศทางที่ดีขึ้น และพยายามจะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นให้ได้ภายในปลายปีนี้ แต่ไม่สามารถได้ก็จะไม่เกินไตรมาสแรกของปีหน้า ขณะที่ธุรกิจคริปโตฯ จะเริ่มดำเนินการได้ประมาณปลายเดือนก.ย. หรือเดือน ต.ค. 2566 เนื่องจากหลังจาก 3 เดือนที่ได้รับใบอนุญาตมาทาง ก.ล.ต. จะมีการตรวจสอบระบบทุกอย่างก่อนแล้วจากนั้นก็จะให้อนุญาตซื้อขายได้ต่อไป
“อย่างไรก็ตามขอเรียนว่ายอดขายน้ำมันของ PTG เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เพียงติดที่ค่าการตลาดที่ทางบริษัทไม่สามารถควบคุมได้มีได้เพียงในการพูดคุยว่าช่วงจังหวะของราคาน้ำมันจะอยู่เท่าไรจะเหมาะสมให้เข้าในเท่านั้น ดังนั้นทิศทางครึ่งหลังปี 2566 ทางบริษัทยังสภาพเดิมก็อาจรับผลกระทบบ้างจากค่าการตลาดแต่ภาครัฐต้องเข้าใจ แต่ทาง PTG ยังไม่ทิ้งเป้าหมายของอัตราการตลาดที่บริษัทพึ่งทำได้ต้องอยู่ระหว่าง 1.80-2 บาท ซึ่งเป็นช่วงที่คาดหวังไว้ แต่ต้องดูทั้งปีก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น” นายรังสรรค์ กล่าวทิ้งท้าย