โบรกเชียร์ซื้อ TTB โชว์ Q2 กำไร 4.60 พันล้าน ดีกว่าคาด! อัพเป้าสูง 1.90 บาท
โบรกเชียร์ซื้อ TTB โชว์งบ Q2 กำไรทะลุ 4.60 พันล้าน ดีกว่าคาด พร้อมปรับเพิ่มกำไร และอัพเป้าราคาใหม่สูงสุด 1.90 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,566.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,438.33 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของรายได้ ความมีวินัยด้านต้นทุน และคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ดีนั้นเอง
โดยรายได้จากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากทั้งรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ในส่วนอัตราส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 35 bps เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากการควบคุมระดับต้นทุนทางการเงินที่ดีและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้น ในด้านค่าใช้จ่าย ธนาคารยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินได้อย่างประสิทธิภาพ
ผลดังกล่าวส่งผลให้ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,860.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.58% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,633.23 ล้านบาท
ทั้งนี้จากผลประกอบการไตรมาส 2/2566 และงวด 6 เดือนแรกของ TTB เติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าที่ทางนักวิเคราะห์มีการประเมินไว้ก่อนหน้าต่างออกมาประเมินในเชิงบวก พร้อมปรับผลการดำเนินงานในปี 2566 ขึ้น และปรับราคาพื้นฐาน อย่างเช่น บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุว่าผลประกอบการของ TTB ในไตรมาส 2/2566 กำไรอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท เติบโตดีกว่าคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้มีการประมาณการณ์กำไรของ TTB ในปี 2566 อยู่ที่ 17,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.60% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ได้ปัจจัยหนุนจาก NIM ปีนี้กว้างขึ้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยมีผลตอบแทนสูง ขณะที่รักษาต้นทุนเงินฝากได้ระดับต่ำ แนะนำ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าพื้นฐานที่ 1.90 บาท
รวมถึง บล.ฟิลิป ระบุว่า สำหรับกำไรไตรมาส 2/2566 ของ TTB อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนดีกว่าคาด ทำให้มีการปรับประมาณการและราคาพื้นฐานขึ้นเช่นกัน ซึ่งจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ทำให้ TTB มีการตั้งสำรองที่ต่ำกว่าทางฝ่ายคาดไว้เดิม ทำให้ทางฝ่ายปรับลดประมาณการการตั้งสำรองลง และทำให้ประมาณการกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 17.5 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ที่ 14.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และทำให้ราคาพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.90 บาท มีส่วนต่างเพิ่มมากขึ้น ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”
นอกจากนี้ บล.เคจีไอ ระบุว่า สำหรับกำไรไตรมาส 2/2566 ของ TTB อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ดีกว่าประเมินการณ์ไว้ก่อนหน้าทำให้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มสมมติฐาน NIM ปี 2566-2567 เป็น 3.14%/3.2% (จาก 3.04%/3.1%) โดยใช้สมมติฐาน credit cost ที่ 130bps/130bps และอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ 3%/5% ในปี 2566-2567 ทั้งนี้ ROE ที่เพิ่มขึ้นหลังปรับประมาณการกำไรทำให้ re-rate PBV เป็น 0.75 เท่า (จาก 0.70 เท่า) ทำให้ได้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าใหม่ที่ 1.85 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ขณะเดียวกันบล.ดาโอ ระบุว่า สำหรับกำไรไตรมาส 2/2566 ของ TTB อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ดีกว่าประเมินการณ์ไว้ก่อนหน้า ทาให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-2567 เพิ่มขึ้นปีละ +7% จากการปรับ NIM เพิ่มขึ้นเป็น 3.05% จากเดิมที่ 3.00% และปรับการเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นทรงตัวจากงวดเดียวของปีก่อน จากเดิมที่ลดลง 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ทำให้ได้กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ดีที่ เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน
ขณะที่คาดว่ากำไรไตรมาส 3/2566 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากการรุกสินเชื่อที่ผลตอบแทนสูงจากฐานกลุ่มลูกค้าเดิมของ TTB ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 1.85 บาท