“เพื่อไทย” เล็งรื้อ MOU 8 พรรค หาทางออกเลือก “นายกฯ” คนที่ 30
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยอมรับว่าข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคร่วมต้องปรับแก้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ หลังพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำ พร้อมย้ำการหารือขั้วอำนาจเดิม ไม่ใช่การยืมมือผลักก้าวไกล
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุถึงกรณีที่พรรคพลังสังคมใหม่จะเสนอให้ 8 พรรคร่วมฯ ปรับเปลี่ยน MOU 23 ข้อที่ได้ตกลงกันไว้ว่า MOU เป็นของ 8 พรรคร่วมฯ ที่ได้พูดคุยกันและตกผลึกมา ขณะที่ MOU ระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยเป็นฉบับที่ 2 มีประมาณ 4 ข้อ เมื่อพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็จะต้องปรับแก้ให้มีความสอดคล้องกัน เพราะแค่ข้อ 1 ที่ทุกพรรคสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ขณะนี้พรรคเพื่อไทยยังคงดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากมติ 8 พรรคร่วมฯ โดยเฉพาะการเจรจากับ สว. และรอผลการตัดสินใจอีกหลายอย่าง โดยได้พูดคุยกับนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ว่าเสียง สว.ที่โหวตสนับสนุนน 13 เสียงก็ยังคงอยู่ ส่วนที่พรรคเพื่อไทยไปประสานกับ สว.เพิ่มเติมก็ยังอยู่ระหว่างการพูดคุย บางส่วนก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว ซึ่งยังพอมีเวลาในการพิจารณา
นายประเสริฐ ยอมรับว่า สว.หลายคนยังติดขัดประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินได้ว่ามีเสียง สว.จำนวนเท่าใดที่คิดเห็นแบบนั้น ขอไปรวบรวมและทำตัวเลขก่อน เพราะนอกจากจะคุยกับ สว.แล้วยังได้พูดคุยกับพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย ซึ่งทั้ง 8 พรรคร่วมฯ ต้องมาพูดคุยกันอีกครั้ง ถ้าการหารือเลื่อนไปสัปดาห์หน้าก็ยังมีเวลาอีก 1 สัปดาห์
พร้อมกันนี้ นายประเสิรฐ ยังปฏิเสธข่าวแกนนำพรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทยขัดแย้งจนไม่มองหน้ากัน เพราะเมื่อวานตนยังโทรศัพท์คุยกับเลขาธิการพรรคก้าวไกล ซึ่งเข้าใจกันดีถึงการเลื่อนหารือ 8 พรรคร่วมฯ หากพรรคเพื่ไทยนัดวันใดก็พร้อมมาพูดคุย
นายประเสริฐ ยังวิงวินสังคมอย่างมองว่าพรรคเพื่อไทย ยืมมือเพื่อนผลักพรรคก้าวไกลออกไป เพราะยังไม่ได้มีการตกลงเข้าร่วมรัฐบาลหรือจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นการพูดคุยว่าสถานการณ์การเมืองเป็นแบบนี้ทุกคนคิดเห็นอย่างไร เชื่อว่าพรรคก้าวไกลรับรู้ในสิ่งที่ พรรคเพื่อไทยดำเนินการอยู่ เพราะมีการพูดคุยกันแล้วว่าจะไปพูดคุยกับทุกพรรค
สำหรับการประชุม สส.ของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ จะรับฟังเสียงของ สส.ที่ไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการโหวตนายกรัฐมนตรี และคาดว่าจะมีการพูดคุยเรื่องแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี หลังจากกรรมการบริหารพรรคได้มอบหมายให้หัวหน้าพรรคมีอำนาจในการตัดสินใจ ซึ่งพรรคก็ต้องการให้การเสนอชื่อแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคในครั้งแรกสามารถได้รับเลือกเลยในครั้งเดียว