TRUE เปิดงบ Q2 อิบิทด้าโต 15% รับยอด “อาปู้” พุ่งหลังควบรวม “ดีแทค”

TRUE รายงานงบไตรมาส 2/66 อิบิทด้าเพิ่มขึ้น 14.7% จากไตรมาสก่อน รับอานิสงส์การควบรวม “ดีแทค” หนุน ARPU ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น


นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น มีทิศทางผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการ และการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของดีแทคและทรู

โดยหลังจากควบรวมกันมา 4 เดือน ทุกอย่างยังดำเนินการไปตามแผนงาน พร้อมทั้งได้เริ่มทยอยรับรู้ผลประโยชน์แบบรวดเร็วจากการควบรวม อีกทั้งการพัฒนาของเศรษฐกิจมีทิศทางเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ ในขณะที่การแข่งขันในตลาดทรงตัวในไตรมาสที่ 2/66

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เสร็จสิ้นกระบวนการคัดเลือกพันธมิตรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก และประสบความสำเร็จในการแต่งตั้งผู้ดำเนินการแผนรวมโครงข่าย (RFP) นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์ในการประหยัดต่อขนาดที่มากขึ้น (Larger Economies of Scale) ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุนและประหยัดได้ประมาณ 3 พันล้านบาท ภายหลังจากการควบรวมกิจการ

โดยลูกค้าของแบรนด์ดีแทค และทรูได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การเติบโตของการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง (cross-selling) ในแต่ละเดือน โดยการให้บริการครอบคลุมระบบนิเวศของโซลูชั่นทำให้ลูกค้าภักดีอยู่กับแบรนด์เพิ่มขึ้น (Customer Loyalty) เพิ่มโอกาสในการรับรู้รายได้

สำหรับข้อมูลไตรมาสที่ 2/66 มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 29 ล้านรายได้รับประโยชน์จากความหลากหลายของคลื่นความถี่ เครือข่ายที่กว้างขึ้น และได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ ทั้งนี้ จากการพัฒนาเครือข่ายดังกล่าว ผู้ใช้แบรนด์ดีแทคได้ใช้บริการ 5G เร็วขึ้น 2.3 เท่า และมีการใช้งาน 5G สูงขึ้น 12%

ด้าน ทรู ดิจิทัล โซลูชัน ได้นำเสนอโซลูชันและบริการต่างๆ ผ่านการขยายผลิตภัณฑ์และบริการไปยังฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นทั้งลูกค้า B2B และ B2C โดยทรู ดิจิทัล โซลูชัน ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไชน่า โมบายล์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มอัจฉริยะระดับโลก ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อระหว่างเซ็นเซอร์ อุปกรณ์อัจฉริยะ เครื่องจักร การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ (Machine-to-Machine – M2M) บนเครือข่ายทรู 5G อย่างไร้รอยต่อเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรม

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า ดีแทคและทรูเป็นแบรนด์ผู้ให้บริการมือถือที่แข็งแกร่ง โดยยังคงเป็นผู้นำในการให้บริการซิมสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว ซึ่งออกแบบการให้บริการโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการนำเสนอคอนเทนท์ ความบันเทิง และการใช้งานโซเชียลมีเดีย พร้อมกับข้อเสนอต่างๆ ที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ ยอดการทำธุรกรรมภายใต้โปรแกรมสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น 17% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแนวคิดชีวิตดีกว่า เมื่อมีกันและกัน (Better Together) ส่งผลให้การรักษาลูกค้ากลุ่มที่ใช้บริการแพ็คเกจที่มีอัตราค่าบริการในระดับสูง (high-tier) เพิ่มขึ้น 9% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยไตรมาส 2/66 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลสูงถึงประมาณ 14 ล้านราย

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 659,000 หมายเลข ทำให้มียอดลูกค้ามือถือจำนวนรวมทั้งสิ้น 51.1 ล้านหมายเลข โดยเพิ่มขึ้น 1.3% จากไตรมาสที่ผ่านมา ผู้ใช้งาน 5G มีจำนวนถึง 8.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสที่ 1/2566 โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการใช้งานและการเพิ่มขึ้นของ ARPU 10-15% โดยสาเหตุหลักมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารพร้อมบริการ โดยสิ้นไตรมาส 2/2566 การให้บริการ 4G ครอบคลุม 99% ของประชากร และ 5G ครอบคลุม 90% ของประชากร ตามลำดับ

ขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีขึ้นจากแนวโน้มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวที่เริ่มกลับมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังคงทรงตัวในไตรมาสที่ 2

โดยมีการลดลงของการให้ส่วนลดและการเพิ่มคุณค่าสินค้าและการบริการให้แก่ลูกค้าที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า ทรู คอร์ปอเรชั่นจะยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ โดยการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด การดำเนินการตามแผนการควบรวม และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) ของ TRUE กล่าวว่า สำหรับไตรมาส 2/66 มีทิศทางดีขึ้นโดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น พร้อมประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม

โดยการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยส่งผลดีต่อการเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าระบบเติมเงิน ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวมากที่สุดในประเทศ นอกจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงแล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่นยังคงมุ่งเน้นที่การเติบโตอย่างมีกำไร ซึ่งนำไปสู่ EBITDA ที่สูงขึ้นและอัตรากำไรที่ดีในไตรมาสนี้

สำหรับการเติบโตของรายได้จากการให้บริการธุรกิจมือถือและบรอดแบนด์ส่งผลให้มีการเติบโตของรายได้จากการให้บริการรวมเพิ่มขึ้น 1.1% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยรายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 0.8% จากไตรมาสก่อน จากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการฟื้นตัวของ ARPU รายได้จากบริการบรอดแบนด์เพิ่มขึ้น 3.2% จากไตรมาสก่อน

โดยได้แรงหนุนจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวของการแข่งขันในตลาด โดยมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้งานใหม่ และการเพิ่มโอกาสจากการขายพ่วงหลังจากการรวมธุรกิจ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ลดลง 28.5% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายที่ลดลงตามฤดูกาล ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 4.6% จากไตรมาสก่อน

ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ทั้งหมด ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 16.7% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากมาตรการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในระยะสั้น ในส่วน EBITDA สำหรับไตรมาสนี้ดีขึ้น 14.7% โดยเป็นผลจากรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และผลกระทบเชิงบวกสุทธิจากการกลับรายการตั้งสำรองเนื่องมาจากการยุติข้อพิพาทในไตรมาส 1/66 รายงานผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีจำนวน 2,320 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time effect) จากการกลับรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีของผลขาดทุนยกมาของ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด หรือ DTN เนื่องจากความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท และค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม (Integration cost) จำนวนประมาณ 250 ล้านบาท

โดยขาดทุนสุทธิยังได้รับผลกระทบจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายโครงข่าย CAPEX สำหรับไตรมาส 2/66 จำนวน 3,435 ล้านบาท ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากการควบรวม

สำหรับการคาดการณ์ในปี 66 บริษัทได้ปรับปรุงแนวโน้มสำหรับปี 66 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) ในขณะที่ยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้

Back to top button