KCG เทรดวันแรก ลุ้นเหนือจอง ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต “เนย-ซีส” ชูพีอี 17 เท่า
KCG ลงสนามเทรดวันแรก ลุ้นเหนือจองราคา 8.50 บาท มั่นใจรายได้-กำไรโตแกร่ง ชู P/E 17 เท่า มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ตอกย้ำผู้นำผลิตนำเข้าเนยและชีส ผลักดันขยายธุรกิจโตยั่งยืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (3 ส.ค.66) หลักทรัพย์ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับ KCG มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO จำนวน 545 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 390 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน IPO จำนวน 155 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 – 21 และ 24 กรกฎาคม 2566 ในราคาหุ้นละ 8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,317.50 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO จำนวน 4,632.50 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 17.33 เท่า พิจารณาจากกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 12 เดือนย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังเสนอขาย (fully diluted) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวงจำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
อย่างไรก็ตามหากเทียบค่า P/E กับธุรกิจใกล้เคียงถือว่าต่ำมาก ซึ่งบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารมีค่า P/E ดังนี้ NSL ค่าพีอี 21.55 เท่า, SNP ค่าพีอี 18.87 เท่า, XO ค่าพีอี 25.90 เท่า, PB ค่าพีอี 16.59 เท่า, SNNP ค่าพีอี 40.12 เท่า, TKN ค่าพีอี 26.41 เท่า และ PM ค่าพีอี 20.04 เท่า
สำหรับบริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ แบรนด์ “Allowrie” ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ลาว สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้งยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น คุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลักที่เป็นที่นิยม เช่น Imperial, DAIRYGOLD, bake master, SUNQUICK, Cookie choice, Rosy และ Violet
นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ “Arla” และ “Emmi” โดยสินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย ทั้งการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง (Business to Customer หรือ B2C) การขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (Business to Business หรือ B2B) และช่องทางส่งออก (Export)
ด้าน นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร KCG เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 64 ปี KCG ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด ซึ่งการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ KCG เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ
รวมทั้งขยายกำลังการผลิตตลอดจนการยกระดับ KCG Logistics Park หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและแบบครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ KCG ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย
นอกจากนี้ KCG มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี ทั้งนี้บริษัทจะพิจารณาการจ่ายเงินปันผลโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ผลการดำเนินงาน และฐานะทางการเงินของบริษัทฯ กระแสเงินสด การสำรองเงินไว้เพื่อลงทุนในอนาคต การสำรองเงินไว้เพื่อจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืม หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมเงิน
อย่างไรก็ดี ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทภายหลัง IPO ประกอบด้วย บริษัท กิมจั้ว กรุ๊ป จำกัด และกลุ่มผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือหุ้นรวมกัน 71.56%
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2563-2565 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 มีรายได้ 4,950.00 ล้านบาท ต่อมาในปี 2564 มีรายได้ 5,265.00 ล้านบาท และในปี 2565 มีรายได้ 6,232.7 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ 244.2 ล้านบาท ต่อมาในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 303.4 ล้านบาท และในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 241.1 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกประเภทให้กับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) กลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) และการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เติบโตเพิ่มขึ้น
ขณะที่ผลดำเนินงาน 3 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,723.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 58.40 ล้านบาท โดยรายได้รวมและกำไรสุทธิเติบโตจากงวด 3 เดือนแรกของปี 65 อัตรา 30.60% และ 81.40% ตามลำดับ โดยหลักมาจากยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ