เปิดโผหุ้น “บลูชิพ” ราคาเด่น-ดิ่ง เดือนกรกฎาคม
บลูชิพเดือนกรกฎาคมราคาทะยาน 37 บริษัท ขณะที่ปรับลดลง 11 บริษัท และราคาไม่เปลี่ยนแปลง 2 บริษัท ส่วนตัวให้ผลตอบแทนกว่า 10% อาทิ DELTA-TOP-BGRIM-CBG-TTB-TRUE-BANPU ฝากโบรกฯ มองหุ้นดังกล่าวยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อหรือดีดกลับจากปัจจัยบวกในระยะสั้น
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา แกว่งตัวไปทิศทางขาขึ้นเป็นหลัก ด้วยดัชนี SET Index ณ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ปิดอยู่ที่ระดับ 1,503.10 จุด หลังจากนั้นค่อยๆ ปรับตัวขึ้นจนมาถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 มาปิดที่ระดับ 1,556.06 จุด พบว่าปรับตัวขึ้น 52.96 จุด หรือขึ้นไป 3% อานิสงส์จากแรงซื้อกลับของหุ้นขนาดใหญ่อย่างกลุ่ม “บลูชิพ” ที่ก่อนหน้าราคาลงไปลึกจนเข้าเขตขายมากเกินไป ประกอบกับหลายตัวราคาหุ้นลงไปต่ำกว่าบุ๊กแวลู
รวมถึงการกลับเข้ามาเก็งกำไรจากการคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2566 จะออกมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดังผลประกอบการของงบการเงินกลุ่มแบงก์เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้แรงซื้อกลับในหุ้นบลูชิพพิสูจน์จากภาพรวมของดัชนี SET50 ในเดือนกรกฎาคม 2566 ปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน จาก ณ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ปิดอยู่ที่ระดับ 919.28 จุด หลังจากนั้นปรับตัวขึ้นจนมาถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 มาปิดที่ระดับ 966.18 จุด พบว่าปรับตัวขึ้น 46.90 จุด หรือขึ้นไป 5.10%
นอกจากนี้ รายละเอียดของรายตัวในกลุ่ม SET50 มีจำนวน 50 บริษัท พบว่า บริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมีมากถึง 37 บริษัท ส่วนบริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมีจำนวน 11 บริษัท และบริษัทที่ราคาหุ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวน 2 บริษัท ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหุ้นกลุ่มบลูชิพเป็นตัวช่วยหนุนตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคมอย่างชัดเจน
สำหรับบริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ได้แก่ DELTA, TOP, BGRIM, CBG, TTB, TRUE, BANPU, EA, SCGP, BTS, WHA, BBL, GPSC, BEM, GULF, PTTEP, PTTGC, CRC, KTB, COM7, SCB, ADVANC, TU, PTT, GLOBAL, INTUCH, CPN, TISCO, BDMS, CPF, EGCO, CPALL, HMPRO, RATCH, OR, SCC และ LH
ส่วนบริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวลง ได้แก่ MTC, AWC, TLI, TIDLOR, KTC, CENTEL, BH, MINT, KBANK, OSP และ AOT ขณะที่บริษัทที่ราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ IVL, SAWAD
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจบริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเดือนกรกฎาคมก็ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ แม้กระทั้งบริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอาจดีดกลับได้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ เพราะยังมีปัจจัยบวกในระยะสั้นช่วยสนับสนุนตามประเด็นต่อไป
ยกตัวอย่างตามข้อมูลบทวิเคราะห์ที่ประเมินไว้เมื่อ 3 ส.ค. 66 อาทิเช่น บล.กรุงศรี พัฒนาสิน ระบุเอาไว้ว่า เมื่อโครงสร้างจำนวนผู้เดินทางจากแถบตะวันออกกลาง มิ.ย.23 เป็นภาพบวกต่อกลุ่ม รพ. ระยะสั้น โดยแรงหนุนสำคัญจากประเทศซาอุฯ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง และ ซาอุฯ มิ.ย. 23 อยู่ที่ 6.71 และ 2.03 หมื่นคน เพิ่มอย่างชัดเจนจากก่อน COVID มิ.ย .19 ที่อยู่ 6.15 และ 0.56 หมื่นคน ขณะที่สะท้อนภาพกลุ่มนักท่องเที่ยวซาอุฯ เริ่มเป็น S Curve ใหม่ หนุนกลุ่ม รพ.ที่มีศักยภาพรับลูกค้าดังกล่าว อาทิ BDMS, BH เป็นต้น
ตามด้วย บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุเอาไว้ว่า จากการณีราคาน้ำมันดิบเริ่มมีแรงขายทำกำไร หลังปรับขึ้นมามากหลังซาอุฯ และรัสเซียตัดสินใจลดอุปทาน เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติที่ปรับลดลง -3.2% จากเดือนก่อนหน้า เป็นอานิสงส์เชิงบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น BGRIM, GPSC, GULF
ขณะเดียวกันยังมีประเด็นพรรคเพื่อไทยแถลงแยกทางกับพรรคก้าวไกลพร้อมยกเลิก MOU ของ 8 พรรคร่วม เพื่อเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ทางฝ่ายวิจัยประเมินความชัดเจนดังกล่าว มีโอกาสมากขึ้นที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วกว่าการมีพรรคก้าวไกลอยู่ด้วย ขณะนโยบายพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่เน้นที่การกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดเป็นบวกต่อหุ้น (ข้อยกเฉพาะหุ้นในกลุ่มบลูชิพเพื่อให้เป็นตีมกล่าวข้างต้น) ได้แก่ BBL, CPALL, CRC, CPN, SCB, KBANK, KTB, WHA
ขณะที่ บล.กสิกรไทย ระบุเอาไว้ว่า มองหุ้น LH เป็นหุ้น Low beta ที่น่าสนใจเนื่องจากให้ปันผลสูง โดยคาด yield ที่ราว8.7% สำหรับปี 2566 คิดบนราคาหุ้นปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะช่วยจำกัด downside ได้หากตลาดปรับตัวลง อีกทั้งหุ้นมีตัวเร่งช่วงครึ่งหลังของปีที่ทางบริษัทมีแผนจะขายโรงแรมเข้ากอง REIT ซึ่งจะทาให้บริษัทบันทึกกาไรก้อนใหญ่เข้ามาช่วยหนุนผลประกอบการ
นอกจากนี้ บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ระบุเอาไว้ว่า มีกลยุทธ์ลงทุน แนะนำหุ้นปลอดภัยและมีโมเมนตัมบวกจากปัจจัยทางการเมือง ได้แก่ ADVANC, INTUCH, BEM
สำหรับในรายของหุ้น ADVANC คาดกำไรไตรมาส 2/2566 สดใส ตามภาวะการแข่งขันที่ผ่อนคลาย โดยประมาณการกำไรจากธุรกิจปกติเป็น 7.21 พันล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ 8% จากไตรมาสก่อน และรายได้จากบริการหลักยังคงเป็น 3.39 หมื่นล้านบาท เติบโต 1.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเติบโต 1.1% จากไตรมาสก่อนตามการขยับขึ้นของ ARPU ทั้งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และ FBB หลังการปรับโครงสร้างราคาแพ็กเกจ ส่วนปัจจัยบวก คือ คาดหวังดีลการซื้อกิจการ TTTBB จบในไตรมาส 3/2566 ขึ้นกับการพิจารณาของ กสทช. โดยประเมินราคาเป้าหมาย 227.77 บาท
ต่อมาในรายของหุ้น INTUCH คาดในไตรมาส 2/2566 กำไรสุทธิ 2.9 พันล้านบาท จากส่วนแบ่งกาไรที่เพิ่มขึ้นจาก ADVANC โดยคาดกำไรสุทธิของ ADVANC ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท และยังคงประมาณการกำไรปี 2566 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท จากแนวโน้มสดใสในครึ่งหลังของปี 2566 โดยประเมินราคาเป้าหมาย 83.83 บาท
ปิดท้ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ BEM โดยคาดในไตรมาส 2/2566 กำไร 947 ล้านบาท จากยอดใช้ทางด่วนในไตรมาส 2/2566 ที่ราว 1.1 ล้านคน/วัน ส่วนผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีน้าเงินราว 3.5 แสนเที่ยว/วัน ผสานกับไตรมาสนี้จะมีปันผลจาก TTW, CKP เข้ามาด้วย สำหรับครึ่งปีหลัง คาดได้รับอานิสงส์เชิงบวก จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเร่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ผนวกกับมี upside เพิ่มเติม จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม Consensus ประมาณการกำไรปี 2566 อยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท และราคาเป้าหมาย 11.04 บาท