I2 เทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเป้า 3.84 บ. ชูผู้นำธุรกิจ SI ครบวงจร-กำไรปี 66-68 โตต่อเนื่อง

I2 พร้อมลุยเทรด mai วันนี้วันแรก ยืนเหนือจอง 2.70 บาท โบรกฯประเมินราคาเหมาะมเป้าสูง 3.84 36 บาท ชูจุดเด่นผู้นำธุรกิจ SI แบบครบวงจร-แบ็คอัพสตรอง โอกาสเติบโตก้าวกระโดด ตุน Backlog แน่นกว่า 1 พันล้านบาท คาดดันกำไรปี 66-68 โตต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ส.ค.66) หุ้นสามัญของบริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ I2 จะเข้าซื้อขายในนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (TECH) โดยมีทุนชำระแล้วหลัง IPO 210 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 300 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 120 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ไม่เกิน 18 ล้านหุ้น กรรมการและผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 12 ล้านหุ้น บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 90 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 25-27 กรกฎาคม 2566 ในราคาหุ้นละ 2.70 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 324 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,134 ล้านบาท

ทั้งนี้การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 20.11 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 2/65 ถึง ไตรมาส 1/66) ซึ่งเท่ากับ 56.40 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.13 บาท โดยมีบริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ I2 เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มเทคโนโลยีวันนี้(8ส.ค.66)เป็นวันแรก โดย I2 ดำเนินธุรกิจ System Integration (SI) แบบครบวงจร ได้แก่ ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร โทรคมนาคม และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยแบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 1) โครงการด้าน ICT ได้แก่ IT Infrastructure, Digital Transformation และโซลูชั่นด้านการประหยัดพลังงาน และ 2) บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสัญญาณดาวเทียม

โดยบริษัทฯเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกับผู้ผลิตอุปกรณ์ และผู้พัฒนาซอฟท์แวร์เครือข่ายสารสนเทศชั้นนำ เช่น Cisco, Oracle, Nutanix, Huawei เป็นต้น ในไตรมาส 1/2566 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการโครงการด้าน ICT : การให้บริการอินเทอร์เน็ต ประมาณ 80 : 20 โดยมีกลุ่มลูกค้าเจ้าของโครงการที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เป็นหลัก

ด้านนายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร I2 เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (IT) แบบครบวงจรชั้นนำให้แก่องค์กรภาครัฐ ด้วยบริษัทฯ มีความรู้ความเข้าใจในภารกิจของหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ จึงสามารถเข้าไปรับฟังปัญหา ให้คำแนะนำแก่หน่วยงานต่างๆ ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อพัฒนา ปรับปรุง การดำเนินงาน กระบวนการทำงาน หรือที่เรียกว่า Digital Transformation ทำให้เกิดโครงการ และ Solution ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานบริการโครงการขนาดใหญ่แก่ลูกค้า ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างการเติบโต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ

โดย I2 มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลังเข้าจดทะเบียน คือ 1. กลุ่มนางอัญชลี แก้วบรรพต ถือหุ้น 39.5% 2. กลุ่ม MFEC ถือหุ้น 15.0% 3. นายไพฑูรย์ ประมวลชัยกุล ถือหุ้น 9.03% และ 4.นายยุทธชัย ทูลพันธ์ ถือหุ้น 7.9%  นอกจากนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองต่างๆ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร I2 กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา กิจการค้าร่วมไอทูวาร์  ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง บมจ.ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ กับ บริษัท วี เอ อาร์ เอส จำกัด ได้เข้าร่วมในพิธีลงนามสัญญาโครงการซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) บนพื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือแห่งแรกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่ง BESS  หรือ เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ จะช่วยลดความผันผวนในระบบไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตไฟฟ้าได้เป็นบางช่วงเวลา แบตเตอรี่นี้จะทำหน้าที่กักเก็บสะสมพลังงานส่วนเกินจากระบบส่ง เพื่อนำไฟฟ้ามาจ่ายในช่วงเวลาที่ต้องการได้ โดยมีมูลค่าโครงการรวม 1,541.25 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ทั้งนี้โบรกเกอร์เคาะราคาเป้าหมาย I2 เฉลี่ย 3.10-3.84 บาทต่อหุ้น โดยชูจุดเด่น ชูจุดเด่นผู้นำธุรกิจ System Integration (SI) แบบครบวงจร-แบ็คอัพสตรอง ผู้เล่นขนาดเล็ก โอกาสเติบโตก้าวกระโดด ตุน Backlog แน่นกว่า 1 พันล้านบาท

โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น I2 ณ สิ้นปี 2567 ที่ 3.84 บาทต่อหุ้น อิง PER 15.0x ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของกลุ่ม System Integrator จุดเด่นของ 12 คือการเป็นผู้เล่นที่มีขนาดเล็กทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมากหากมีเงินทุนเพิ่มเติม การมี Synergy จากผู้ถือหุ้นอย่าง MFEC ในด้าน Knowhow และมีรายได้จากธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลรองรับในช่วง 3 ปีจากนี้

อีกทั้งได้คาดการณ์กำไรปกติของ I2 ในปี 2566-2568 ที่ 76 ล้านบาท 108 ล้านบาท และ126 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นการเติบโตของกำไรปกติปี 2566-2568 ที่ 5%, 41%, และ 17% ตามลำดับ

สำหรับการเติบโตเด่นในปี 2567-2568 ได้แรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตจากเงิน IPO ที่ทำให้บริษัทฯสามารถประมูลงานภาครัฐได้เพิ่มเดิม ส่วนการเติบโตในปี 2566 หนุนจาก Backlog ณ สิ้นไตรมาส 1/66 ในมือที่แข็งแกร่งราว 1.0 พันล้านบาท

ทั้งนี้ I2 ประกอบธุรกิจให้บริการโซลูชั่นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลเป็นหลัก บริษัทมีรายได้ในปี 2565 ราว 936 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากงานรับเหมาด้าน IT หรือ SI คิดเป็นราว 71% ของรายได้ปี 2565 ซึ่งธุรกิจ SI ของ I2 จะเน้นงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเกือบทั้งหมด งานที่บริษัททำได้มีความหลากหลาย เช่น การสร้าง Data Center การทำระบบโครงข่าย งานสายสื่อสาร หรืองานด้านระบบ Enterprise Cyber Security เป็นต้น

ส่วนรายได้หลักอีกราว 25% ต่อปี มาจากการให้เช่าช่องสัญญาณดาวเทียม และจัดหาอุปกรณ์สำหรับบริการอินเทอูร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล (USO) โดยบริษัทเป็นคู่ค้าสำคัญกับ THCOM ในการให้บริการกับผู้ชนะการประมูลพื้นที่ดังกล่าวจาก กสทช. รายได้จากการให้บริการส่วนนี้จะมีอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2568 หรือจนกว่าจะหมดสัญญา USO

นอกจากนี้ บริษัทมีธุรกิจกลุ่มพลังงานราว 1% ของรายได้ปี 2565 แม้ไม่มากเพราะไม่มีงานใหม่ในช่วงสั้น แต่ในปี 2564 รายได้จากธุรกิจพลังงานอยู่ที่ 119 ล้านบาท (9% ของรายได้รวม) หลักๆ จากโครงการประหยัดพลังานไฟถนนประเภทโคมไฟเสาสูงกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ในอนาคตคาดบริษัทใช้เงินทุนจาก IPO ประมูลงานด้านธุรกิจพลังงานเพิ่มเติม ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Digital Transiormation เช่น Big Data หรือ E-Document อยู่ในช่วงเริ่มต้นมีรายได้ราว 24 ล้านบาทในปี 2565

นอกจากนี้ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน)(MFEC) ที่เน้นงานเอกชน ยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ I2 ในสัดส่วน 15% โดย MFEC เข้ามาลงทุน I2 ตั้งแต่ปี 2563 และจะรักษาสัดส่วนการลงทุน 15% หลังเข้าตลาดโดยจะเป็นการซื้อ Big Lot จากผู้บริหารที่ราคา IPO ซึ่งการดำเนินธุรกิจระหว่าง MFEC ไม่แข่งขันกันโดยตรง เพราะอยู่คนละตลาด โดย MFEC เน้นงานเอกชน ขณะที่ I2 เน้นงานภาครัฐ

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด ให้ราคาเป้าหมาย I2 ปี 2567 ที่ 3.42 บาท/หุ้น โดยใช้วิธี Relative PE เทียบกับหุ้นที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัทฯ เช่น AIT ,MFEC ,TPS ,ITEL และ GABLE ซึ่งมี PE เฉลี่ยที่ 14.15 เท่า

ทั้งนี้คาดการณ์กำไร 2-3 ปี จะถูกขับเคลื่อนจากเทรน Digital Transformation และ Smart Grid คาดกำไรสุทธิปี 2566 – 2568 ที่ 82.95 ล้านบาท , 103.83 ล้านบาท และ 97.13 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตที่ 84.43% ,25.16% และ -6.46% ตามลำดับ

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ของ I2 ไว้ที่ 3.10 บาทหุ้น ด้วยวิธี PE ที่ระดับ x (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 3 เดือนของหุ้นในกลุ่ม ซึ่งอยู่ที่ 15x) โดยมองว่าเป็นวิธีที่มีความเหมาะสมเนื่องจากสะท้อนถึงธุรกิจ I2 ที่มีลักษณะของรายได้ที่ผันผวนตามวัฏจักรการรับรู้รายได้โครงการที่ประมูลได้มาในแต่ละปี โดยประเมินการเติบโตอยู่ที่ 19% YOY CAGR (2566-2568F) ส่งผลให้เมื่อเทียบเป็น PEG จะอยู่ที่เพียง 0.6 ต่ำกว่า

Back to top button