TU ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้นตัว รับต้นทุนลด โบรกแนะ “ซื้อ” ชูเป้า 17 บาท
TU ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้นตัว รับต้นทุนลด พร้อมยอดสั่งซื้อของธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องกลับมาดีขึ้น บวกกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัว โบรกแนะ “ซื้อ” ชูราคาเป้าหมาย 17 บาท
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 1,029 ล้านบาท ดีขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน แต่อ่อนตัว 37% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยกำไรสุทธิดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าเล็กน้อยราว 3% แต่กำไรจากการดำเนินงานดีกว่าคาด 67%
โดยมีรายได้รวมเติบโตได้ราว 4% จากไตรมาสก่อน อ่อนตัว 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยยอดขายธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องปรับตัวดีขึ้นจากการปรับขึ้นราคาขายและปัจจัยบวกด้านฤดูกาล แต่ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงและยอดขายผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มปรับตัวลง ทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากการที่ลูกค้าในสหรัฐฯ และยุโรป มีการระบายสินค้าคงคลัง และความต้องการซื้อที่ชะลอตัว
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 16.9% ดีขึ้นจาก 15.1% และดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า โดยอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องปรับตัวดีขึ้นจากการปรับราคาขาย และธุรกิจอาหารทะเลแช่เย็น/แช่แข็ง ดีขึ้นจากราคากุ้งที่ปรับตัวลง แต่อัตรากำไรขั้นต้นอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ปรับตัวลดลง
ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม 137 ล้านบาท แม้ดีขึ้นจากไตรมาส 2/2565 ที่มีขาดทุน 283 ล้านบาท แต่พลิกกลับจากกำไรใน ไตรมาส 1/2566 ที่ 231 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจ Red Lobster ผ่านพ้นช่วง High Season ในไตรมาส 1/2566 แต่มีการฟื้นตัวจากช่วงปีก่อนที่ยังเปิดทำการไม่เต็มที่รอลุ้นการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2566 แต่ต้องปรับประมาณการกําไรปี 2566
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,050.22 ล้านบาท ลดลง 39% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,369.36 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคาดหวังการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2566 เนื่องจากแนวโน้มวัตถุดิบทูน่าอาจปรับตัวจากฐานสูงในครึ่งแรกปี 2566 ลงมาได้บ้างมาอยู่ที่ราว 1,800-1,900 เหรียญต่อตัน ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อของธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องกลับมาดีขึ้น บวกกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโรจะส่งผลบวกต่อกำไร อย่างไรก็ตามด้วยแนวโน้มกำไรในงวดครึ่งแรกปี 2566 ที่ค่อนข้างอ่อนแอ และการฟื้นตัวในครึ่งปีหลังยังไม่ชัดเจนว่าจะมากน้อยเพียงใด ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลง 12% จากเดิมเหลือ 4,745 ล้านบาท (ลดลง 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน)ยังคงราคาเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการปรับลดประมาณการกำไร แต่ยังคงราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 17 บาท อิง PBV 1.1 เท่า เนื่องจากการปรับประมาณการกระทบต่อ PBV ไม่มาก โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside บวกกับคาดแนวโน้มผลประกอบการน่าจะผ่านจุดต่ำสุดหรือใกล้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17 บาท