MTC โชว์พอร์ตสินเชื่อ Q2 ตามนัด 1.32 แสนล้าน หนุนรายได้โต 25%
MTC ดันพอร์ตสินเชื่อไตรมาส 2/66 แตะเป้า 1.32 แสนล้าน หนุนรายได้ทะลุ 6 พันล้านบาท เตรียม ออกหุ้นกู้ชุดใหม่อัตราดอกเบี้ย 4.25-4.80% คาดเสนอขายระหว่างวันที่ 21-23 ส.ค.นี้
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ที่มุ่งเน้นการส่งมอบผลิตภัณฑ์สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) ด้วยมาตรฐานการให้บริการที่เป็นเลิศ คำนึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ผ่านการขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางเลือก ด้วยต้นทุนทางการเงินที่เป็นธรรมและโปร่งใส ส่งผลให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 6,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท
สำหรับในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้อยู่ที่ 11,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.86% และมีกำไรสุทธิ 2,270 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้รายได้เพิ่มขึ้น เป็นผลอันเนื่องมาจากการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนสาขากว่า 7,260 แห่งครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศ จึงทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 132,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25,450 ล้านบาท หรือ 23.70% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพพนักงานให้พร้อมรับกับความท้าทายการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ เพื่อรักษาระดับการบริการที่ดีแก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพลูกหนี้ให้ดีขึ้นเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายพอร์ตสินเชื่อแตะระดับ 2 แสนล้านบาทในปี 2569 และรองรับแผนการปล่อยสินเชื่อในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%
โดยในช่วงระหว่างวันที่ 21 – 23 สิงหาคม 2566 บริษัทฯ คาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 3 ชุด โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 1 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้กับลูกค้าในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ(SDGs) ที่บริษัทมีการปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับการประเมิน ESG MSCI Index ในปี 2566 ที่ระดับ AA ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Customer Finance) โดยมีระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า
รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ในการร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ เป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีต่อแนวคิดการบริหารธุรกิจโดยคำนึงความยั่งยืนของเมืองไทยแคปปิตอล