DMT กำไรไตรมาส 2 โต 25% รับรายได้ทางด่วนพุ่ง แจกปันผล 0.35 บาท

DMT เปิดผลงาน Q2/66 รายได้ค่าผ่านทางโต 31% ไฟเขียวปันผล 0.35 บาท/หุ้น 8 ก.ย.นี้ มั่นใจรายได้ปีนี้โตเกิน 30% รับท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนปริมาณจราจรบนทางยกระดับดอนเมืองปรับตัวเพิ่มขึ้น


ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ปี 66 เทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 65 มีปริมาณจราจรโดยเฉลี่ยต่อวันรวม 102,165 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 โดยมีรายได้ค่าผ่านทาง 553.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 และกำไรสุทธิ 233.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25

ทั้งนี้ด้วยผลประกอบการที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และฐานะทางการเงินที่แข่งแกร่ง รวมทั้งการบริหารต้นทุนทางการเงินและผลตอบแทนจากการลงทุนที่เกิดประโยชน์สูงสุด บริษัทฯเบิกใช้วงเงินหมุนเวียน ระยะเวลา 1-3 เดือน ณ วันที่ 30 มิ.ย.66 มีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน จำนวน 850 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เท่ากับ 0.19 เท่า และมีวงเงินหมุนเวียนเพื่อสำรองไว้ใช้ในกิจการซึ่งยังมิได้เบิกใช้เป็นจำนวนเงินรวม 350 ล้านบาท (31 ธ.ค.65 : 1,000 ล้านบาท) โดยบริษัทฯ มีความพร้อมในการขยายกิจการโดยเข้าร่วมประมูลโครงการที่ภาครัฐเปิดประมูลเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Public-Private Partnership) ในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบการจัดสรรกำไรเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 66 ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนและรับชำระแล้วจำนวน 1,181,232,800 หุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 826,862,960 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนแรก ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 413,431,480 บาท เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.66 แล้ว

ดังนั้นบริษัทฯจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 66 ส่วนที่เหลือในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนและรับชำระแล้วจำนวน 1,181,232,800 หุ้น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 413,431,480 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 6 เดือนแรก ของปี 66 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 236,246,560 บาท และจ่ายจากกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 177,184,920 บาท บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ก.ย.66

ดร.ศักดิ์ดา กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในปี 66 เติบโตมากกว่า 30% จากปีก่อน โดยคาดการณ์ปริมาณการจราจรเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 110,000 คันต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยอยู่ที่ 85,000 คันต่อวัน

ทั้งนี้ ประเมินแนวโน้มปริมาณจราจรในไตรมาสถัดไป พบว่ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกิดจากความมั่นใจในการออกมาใช้ชีวิตและประกอบกิจการ รวมถึงกิจกรรมการเดินทางหลักในภาคการศึกษายังคงส่งผลให้การเดินทางในช่วงเปิดเทอมสูงขึ้นและในฤดูฝนผู้ใช้ทางเลือกที่จะใช้บริการบนทางยกระดับเพื่อความรวดเร็วหลีกหนีการจราจรแออัดบนถนนทั่วไป ด้านการติดตามการระบาดของ COVID-19 ถือว่าได้ถึงระยะสิ้นสุดการระบาดแล้ว และจะไม่มีการจำกัดการเดินทาง การล็อคดาวน์อีกต่อไป จึงเชื่อมั่นว่าหลังจากนี้ไปกิจกรรมทุกอย่างจะทยอยกลับไปสู่สภาวะปกติเหมือนก่อนการระบาดของ COVID-19

รวมไปถึงนโยบายการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง และจะทำให้ปริมาณการเดินทางโดยรวมเพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าจะมีเที่ยวบินจากสายการบินนานาชาติเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิมีปริมาณการเดินทางที่หนาแน่นใกล้เคียงก่อน การระบาดของ COVID-19 อาจจะทำให้มีการพิจารณาให้กลับมาใช้ อาคาร 1 สนามบินดอนเมืองที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ

ขณะที่การติดตามแผนการขยายท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 มีความคืบหน้าในการดำเนินโครงการแล้ว แสดงให้เห็นว่าการเดินทางด้วยอากาศยานมีแนวโน้มขยายตัวหลังจากนี้ จะส่งผลให้ปริมาณจราจรบนทางยกระดับดอนเมืองสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนการติดตามปริมาณการเดินทางของรถไฟฟ้าสายสีแดงที่อยู่ติดกับทางยกระดับดอนเมืองนั้น พบว่ากลุ่มผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีแดงเป็นคนละกลุ่มกับผู้ใช้ทางยกระดับดอนเมือง อีกทั้งการใช้รถไฟฟ้าสายสีแดงปัจจุบันพบว่า ค่าใช้จ่ายในการเดินทางรวมการเดินทางเชื่อมต่อและเข้าถึงสถานี (Feeder) ยังสูงกว่าการใช้ทางยกระดับ คาดการณ์ว่ายังไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง และอยู่ในการติดตามพฤติกรรมการเดินทางโดยรอบทางยกระดับดอนเมืองของบริษัทฯ โดยรถยนต์ยังคงมีความจำเป็นในระบบคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้ง นโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการเดินทางด้วยรถยนต์ต่ำลงอีกด้วย

Back to top button