โบรกชู BEM ดาวเด่น! ลุ้นกำไรปี 66 โตแกร่ง
โบรกมอง BEM-BTS จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทั้งคู่ รับปริมาณการเดินทางเพิ่มขึ้น ชู BEM ท็อปพิก! ลุ้นกำไรปี 66 เติบโตแข็งแกร่ง รับจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และมีรายได้เงินปันผลจาก TTW และ CK ส่วนหุ้น BTS มองว่าราคาถูกแต่ขาดปัจจัยที่จะมาช่วยกระตุ้นกำไร
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จํากัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นรถไฟฟ้า คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS โดยมองว่าในเดือนมิถุนายน 2566 รายงานยอดปริมาณการเดินทางทั้งทางด่วน และรถไฟฟ้า sky train ในส่วนของ BTS, รถไฟใต้ดินในส่วนของ BEM ปรับเพิ่มขึ้นทั้งคู่ ซึ่งปริมาณการเดินทางในส่วนของรถไฟฟ้า ทั้ง sky train และรถไฟใต้ดิน เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และ 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่โรงเรียนกลับมาเปิดภาคเรียน ขณะที่ปริมาณรถใช้ทางด่วนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าผู้โดยสารรถไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 มีบทบาทสำคัญที่ช่วยหนุนปริมาณการเดินทางของทั้ง sky train และรถไฟใต้ดินในเดือนมิถุนายน ถึงแม้ว่าธุรกิจรถไฟฟ้าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งคู่ในเดือนมิถุนายน แต่การฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารรถไฟใต้ดิน และ sky train ยังแตกต่างกัน เพราะในขณะที่จำนวนผู้โดยสารรถไฟใต้ดินทำสถิติสูงสุดใหม่ในเดือนมิถุนายน จำนวนผู้โดยสาร sky train ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดระบาดอยู่ 22%
ถึงแม้ว่าปริมาณการเดินทางของทั้ง BEM และ BTS จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทั้งคู่ และแนวโน้มกำไรของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2566 จะแตกต่างกัน คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ BEM จะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 2/2566 ที่ประมาณ 930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่คาดว่ากำไรของ BTS จะไม่น่าตื่นเต้น เพราะคาดว่า VGI (BTS ถือหุ้น 59.76%) จะขาดทุนในไตรมาสนี้ เพราะผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของบริษัทย่อย ซึ่งได้แก่ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX และ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART
สำหรับแนวโน้มในปี 2566 คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ BEM จะอยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดว่ากำไรของ BTS จะโต 44% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2566 จะยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดระบาดอยู่ 23%
ดังนั้น ทางฝ่ายวิจัยเลือก BEM เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ โดยยังคงแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 11.50 บาท และ BTS ราคาเป้าหมาย 9.46 บาท แต่เมื่อพิจารณาความเสี่ยงที่ยังค้างคาอยู่กับหน่วยงานทางการ และประมาณการกำไร มองว่าการลงทุนใน BEM ปลอดภัยมากกว่า BTS เพราะต่อให้ไม่ได้เซ็นสัญญาโครงการสายสีส้มก็จะทำให้ราคาเป้าหมายลดลงไปเพียง 1 บาท หรือ10% และกำไรจะยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน คาดว่ากำไรของ BTS จะยังคงถูกกดดันจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานทางการ และผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของ VGI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BTS