CPF เปิดงบไตรมาส 2/66 รายได้แตะ 1.5 แสนล้าน

CPF รายงานงบไตรมาส 2/66 รายได้จากการขายแตะระดับ 1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของต่างประเทศ 9.3 หมื่นล้าน และในประเทศ 5.6 หมื่นล้านบาท


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนปี 66 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

โดยในไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 150,246 ล้านบาท เป็นส่วนของกิจการต่างประเทศ 93,652 ล้านบาท (ร้อยละ 62) และกิจการประเทศไทย 56,594 ล้านบาท (ร้อยละ 38) โดยมีผลขาดทุนสุทธิในส่วนของบริษัทจำนวน 793 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 119 เมื่อเทียบจากไตรมาสเดียวกันของปี 2565 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นตันในไตรมาส 2 ปี 66 ที่ร้อยละ 11.0 ลดลงจากร้อยละ 14.5 ของไตรมาสเดียวกันของปี 65 ด้วยปัจจัยหลักดังนี้

1.ต้นทุนการผลิต รวมถึงราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์และค่าใช้จ่ายพลังงานที่สูงขึ้น

2.ราคาสุกรที่อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเนื่องจากภาวะสินค้าล้นตลาดจากการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศ (ผิดกฎหมาย) และการระบาดของโรคในสุกร (ASF) ที่ลดลงทำให้ปริมาณการผลิตสุกรขุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ประกอบกับความต้องการบริโภคที่ไม่ได้เป็นไปตามคาด

3.ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมที่มีผลกระทบทำให้กำลังซื้อในประเทศต่างๆ ไม่ดีขึ้น

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อผลขาดทุนสุทธิในส่วนของบริษัทเช่น ส่วนแบ่งขาดทุนในบริษัทร่วมและร่วมค้าจากผลการดำเนินงานของบริษัทรวมในประเทศจีนที่ได้รับผลกระทบจากราคาสุกรที่อยู่ในระดับที่ต่ำและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงและการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก ทำให้บริษัทมีคำใช้จ่ายดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร กล่าวถึงผลการดำเนินงานว่า ไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจากการที่ต้นทุนการผลิตเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ในหลายประเทศ เช่น ราคากากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่เพิ่มขึ้น จากปีก่อน รวมถึงค่าใช้จ่ายพลังงานที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาเนื้อสัตว์ในหลายประเทศลดลงจากสภาวะอุปทานอุปสงค์ที่ไม่สมดุลย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเนื้อสุกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสินค้าล้นตลาดจากการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรผิดกฏหมาย และความต้องการบริโภคที่ไม่ได้เป็นไปตามคาดหมาย ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงจากปีที่ผ่านมา

รวมทั้ง ส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าของบริษัทที่ยังมีผลขาดทุน ซึ่งโดยหลักมาจากบริษัทร่วมในประเทศจีนที่ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์และฟาร์มสุกร รวมถึง การที่ระดับอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายจากเงินกู้เพิ่มขึ้น

โดยภายใต้ภาวะตลาดที่ยังมีความไม่แน่นอนและสภาวะเศรฐกิจโลกในภาพรวมที่ยังไม่กลับมาเป็นปกติ บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอย่างต่อเนื่อง  และด้วยแนวโน้มสภาวะตลาดในหลายๆ ประเทศเริ่มปรับดีขึ้นเป็นลำดับ บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังของปีนี้./

Back to top button