4 หุ้นโรงพยาบาล โชว์กำไร Q2 แกร่ง NTV นำทีมโต 78%

เปิดรายชื่อ 4 หุ้นโรงพยาบาล NTV-BH-KDH-BDMS โกยกำไรไตรมาส 2/66 โตแกร่ง ลุ้นครึ่งปีหลังเด่นต่อ รับไฮซีซั่น-ดีมานด์คนไข้ต่างชาติรอเข้าเพียบ โบรกเชียร์ซื้อ BH-BDMS


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์ (Health Care Services) ที่ประกาศงบการเงินไตรมาส 2/66 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกหุ้นที่มีกำไรเติบโตมากสุดได้แก่ NTV,BH,KDH,BDMS ตารางประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท โรงพยาบาลนนทเวช จำกัด (มหาชน) หรือ NTV รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน 2566  มีกำไรสุทธิ 91.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 51.23 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 175.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 101.58 ล้านบาท

โดยกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทฯมีรายได้จากการรักษาพยาบาลไตรมาส 2 ปี 2566 เท่ากับ 595.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.78 ล้านบาท คิดเป็น 14.58 % เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 เนื่องจากสาเหตุจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น  โดยจำนวนผู้ป่วยนอกที่ใช้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 สูงกว่าไตรมาสที่ 2 ปี 2565 จำนวน 2,426 คน เพิ่มขึ้น 2.18 % สวนจำนวนวันนอนผู้ป่วยในที่ใช้บริการไตรมาสที่ 2 ปี 2566 สูงกว่าไตรมาสที่ 2 ปี 2565 จำนวน1,495 เตียง เพิ่มขึ้น 19.04%

อันดับ 2 บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน 2566  มีกำไรสุทธิ 1,747.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,165.95 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 3,331.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,890.99 ล้านบาท

โดยในไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 6,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จาก 4,903 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 65 โดยหลักเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติและผู้ป่วยชาวไทยร้อยละ 28.6 และร้อยละ 13.7 ตามลำดับ เป็นผลให้รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.8 จากทั้งหมด ขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็นร้อยละ 65.2 ในไตรมาส 2 ปี 66 เทียบกับร้อยละ 37.7 และร้อยละ 62.3 ตามลำดับในไตรมาส 2 ปี 65

ทั้งนี้ในไตรมาส 2 บริษัทมีต้นทุนกิจการโรงพยาบาล (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่าย) จำนวน 3,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 จาก 2,640 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 65 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าธรรมเนียมแพทย์ที่เพิ่มขึ้น 165 ล้านบาท ต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น 84 ล้านบาท

โดยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกิจการโรงพยาบาลในอัตราร้อยละ 23 เป็นผลให้สัดส่วนของต้นทุนกิจการโรงพยาบาลต่อรายได้จากกิจการโรงพยาบาลลดลงเป็นร้อยละ 50.4 ในไตรมาส 2 ปี 66 เทียบกับอัตราร้อยละ 53.8 ในไตรมาส 2 ปี 65

พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย.66 เป็นเงินสด 1.35 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 24 ส.ค.66 และกำหนดจ่าย 6 ก.ย.66

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับประมาณการกำไรธุรกิจหลักปีนี้ขึ้น 14% เป็นสถิติสูงสุดที่ 6.7 พันล้านบาท หลังกำไรไตรมาส 2/66 สูงกว่าคาด พร้อมปรับกำไรปี 67 ขึ้น 15% เป็น 7.2 พันล้านบาท และปี 68 ขึ้น 16% เป็น 7.6 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าคอนเซนซัส 15%

ทั้งนี้ BH มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง สนับสนุนจากอุปสงค์คงค้างจำนวนมากของผู้ป่วยต่างชาติ (โดยเฉพาะตะวันออกกลาง) และการปรับขึ้นราคา 6.6% ดังนั้นจึงปรับราคาเป้าหมายขึ้น 13% เป็น 282 บาท และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”

อันดับ 3 บริษัท ธนบุรี เมดิเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ KDH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน 2566  มีกำไรสุทธิ 27.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 19.72 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 47.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 46.14 ล้านบาท

โดยกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้รวมของไตรมาส 2 ปี 2566 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2565 เป็นจำนวน 54.0 ล้านบาท เนื่องจาก 1. รายได้จากค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกลดลง 0.1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.1 ซึ่งเป็นการลดลงของรายได้จากแผนกอายุรกรรมจากการให้บริการตรวจ COVID- 19 การให้บริการคลีนิกโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (ARI Clinic) ที่แพร่ระบาดในปี 2565 ขณะที่รายได้จากค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในเพิ่มขึ้น 54.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.2 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากแผนกศัลยกรรมความงาม

อันดับ 4 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีกำไรสุทธิ 3,063.27  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,664.15 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 6,533.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6,107.18 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่ารักษาพยาบาล 10% จากการเติบโตของ ศูนย์การแพทย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence – COE) ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ 22% และรายได้จากผู้ป่วยชาวไทย 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,533.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.98% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 6,107.18 ล้านบาท มาจากรายได้จากการดำเนินงานรวม 48,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากครึ่งปีแรกของปี 2565 มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่ารักษาพยาบาล 7% โดยมีการเติบโตที่ดีจากรายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติ 30% ขณะที่รายได้ผู้ป่วยชาวไทยที่ไม่เกี่ยวกับ COVID-19 (Thai-Non COVID) เติบโตสูงถึง 25% จากครึ่งปีแรกของปี 2565

บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  BDMS แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท ทางฝ่ายคาดแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลัง 2566 โตกว่าครึ่งปีแรก อยู่ที่ 6,533.38 ล้านบาท  เป็น 7,013.02 ล้านบาท โต 7.34% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2566 จากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของผู้ป่วยต่างชาติ โดยคาดว่าจะมีผู้ป่วยต่างชาติเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยประมาณเดือนละ 20,000 ราย ประกอบกับผู้ป่วยคนไทยที่เพิ่มขึ้นจากโรคที่มาตามฤดูกาลในครึ่งปีหลัง

Back to top button