เปิดประวัติ “เศรษฐา” จากซีอีโอ “แสนสิริ” สู่ว่าที่นายกฯคนที่ 30 ของไทย
เปิดประวัติ “เศรษฐา ทวีสิน” จากซีอีโอ "แสนสิริ" สู่ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
นายเศษฐา ทวีสิน ว่าที่นายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่พรรคเพื่อไทยวันที่ 22 ส.ค. 66 ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย อยากขอบคุณประชาชนคนไทยทุกคน พรรคร่วมรัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ ท่านวุฒิสมาชิกทุกท่านที่ร่วมโหว ด้วยคะแนนเสียง เห็นชอบ 482 เสียง ย้ำผมจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ลืมความเหน็ดเหนื่อยยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนไทย ทุกคน
ประวัติ นายเศรษฐา ทวีสิน เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2505 ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หนึ่งในแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อดีตประธานอำนวยการและ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้นำการขับเคลื่อนแสนสิริ สู่บริษัทชั้นนำในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย
ทั้งนี้ ก่อนร่วมงานกับแสนสิริ คุณเศรษฐา เคยทำงานกับ Procter & Gamble บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว (FMCG)
คุณเศรษฐา จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแมสสาชูเซ็ตส์ (University of Massachusetts) และปริญญาโทในสาขาบริหารธุรกิจด้านการเงินจาก บัณฑิตวิทยาลัยแคลมอนต์ (Claremont Graduate School) สหรัฐอเมริกา
ขณะที่บริหารแสนสิริ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและแนวทางการบริหารธุรกิจที่ครอบคลุม คุณเศรษฐาผลักดันให้แสนสิริเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาเป็นระยะเวลาเกือบ 40 ปี ทั้งยังได้สร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริในกลุ่มผู้บริโภค พร้อมทั้งเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์มาตรฐานต่างๆ
ที่ผ่านมา คุณเศรษฐายังเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เฉียบคมเกี่ยวกับวาระทางสังคมของประเทศ และได้มอบหมายแนวคิดในการสร้างกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแรงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศชาติในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม สนับสนุนความเท่าเทียมและหลากหลาย รวมถึงในหลายโครงการที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน
Milestone ในภาคธุรกิจ
คุณเศรษฐาเริ่มงานในอาชีพแรกในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท พร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิ้ล ประเทศไทย ก่อนเข้าร่วมงานกับแสนสิริ
พ.ศ.2533 เข้าทำงานในบริษัท แสนสำราญ จำกัด
พ.ศ.2537 การเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นบริษัท แสนสิริ จำกัด
พ.ศ.2538 ภายใต้การบริหารงานของตน นำบริษัทเข้าจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดและเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 100 ล้านบาท
พ.ศ.2539 จัดตั้งบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อดูแลงานบริหารจัดการโครงการและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เพราะเล็งเห็นว่าการต่อยอดธุรกิจให้ครบวงจรเป็นจุดแข็งในการนำธุรกิจไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
พ.ศ.2540 ประเทศไทยและบริษัทเผชิญวิกฤติต้มย้ำกุ้ง ซึ่งเป็นวิกฤติทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดสามารถดำเนินการบริหารจัดการแก้ไขชำระหนี้และนำองค์กรผ่านพ้นมรสุมธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
พ.ศ.2543 ทำการปรับโครงสร้างหนี้เสร็จสิ้นเป็นรายแรกๆ หลังจากวิกฤติปี 2540 และเริ่มขยายธุรกิจรุกการทำโครงการแนวราบ (บ้านเดี่ยว) โครงการแรกในทำเลวัชรพล
พ.ศ. 2550 พัฒนาโครงการ บ้านแสนสิริ สุขุมวิท บ้านเดี่ยวใจกลางเมือง และได้รับการตอบรับอย่างดี จนได้รับรางวัล Asia’s Best Residential Project of The Year 2006
พ.ศ.2550 ด้วยเห็นว่าการส่งเสริมและสนับสนุนเด็กและเยาวชนเป็นสิ่งสำคัญได้ริเริ่มโครงการ แสนสิริ อะคาเดมี่ คลินิคสอนฟุตบอลเยาวชนทั่วไปโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ถึงปัจจุบันนี้มีเด็กกว่า 8 พันคนที่ผ่านการฝึกสอนของโครงการและหลายคนได้โอกาสเข้าเรียนและติดทีมชาติเยาวชน
พ.ศ.2553 ริเริ่มการจับมือเป็นพันธมิตรกับ UNICEF เพื่อสนับสนุนและต่อยอดประเด็นสิทธิและสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน โดยเป็นองค์กรธุรกิจของไทยองค์กรแรกๆ ที่ได้รับเกียรติร่วมมือ โดยความร่วมมือดังกล่าวได้ดำเนินเป็นระยะเวลา 10 ปี จนกระทั่งสิ้นสุดในปี พ.ศ.2563
พ.ศ.2555 นำพาองค์กรรุกธุรกิจที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดตามหัวเมืองสำคัญๆเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (ภูเก็ต เชียงใหม่ หัวหิน ขอนแก่นพัทยา และเขาใหญ่)
พ.ศ.2556 ได้รับรางวัล Thailand Property Award สาขา Best Housing Development
พ.ศ.2557 เป็นตัวแทนภาคเอกชนรายเดียวของประเทศไทยเข้าร่วม UNICEF Innovation & Action Workshop Panel ที่กรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เพื่อเสวนาเรื่องของสิทธิและสวัสดิภาพเด็ก
พ.ศ.2559 เปิดตัวโครงการแฟล็กชิป 98 ไวร์เลส บนถนนวิทยุ ด้วยมูลค่าโครงการ สูงถึง 8,500 ล้านบาท บนทำเลที่มีราคาที่ดินสูงที่สุด ณ ขณะนั้น(ได้รับรางวัล Asia Pacific Property Award ในปี พ.ศ. 2561)
พ.ศ. 2559ได้รับรางวัล Global CSR Summit and Award (Silver Award for CSR and Leadership)
พ.ศ.2560 มองการณ์ไกล ขยายฐานธุรกิจด้วยการร่วมลงทุนกับบริษัทระดับโลก 6 ราย รวมถึง Standard International เช่น บริหารโรงแรมชื่อดังระดับโลก และเข้าดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ ของ Standard International
พ.ศ.2562 นำองค์กรรับรางวัลชนะเลิศ ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทธุรกิจขนาดใหญ่ จาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
พ.ศ.2563 นำบริษัทลงนามในข้อตกลง United Nations Global Standards of Conduct for Business กับ UNDP ซึ่งเป็นบริษัทไทยแรกในไทยที่ดำเนินการเรื่องนี้ เพื่อสนับสนุน และลดการแบ่งแยกความเหลื่อมล้ำสำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
พ.ศ.2564 ได้รับรางวัลองค์กรต้นแบบ ด้านสิทธิมนุษยชน (รางวัลชมเชย จากกรมคุ้มครองแรงงานและสวัสดิการสังคมกระทรวงยุติธรรม)
พ.ศ.2565 นำองค์กรประกาศจุดยืนเรื่องสิ่งแวดล้อมและกำหนดเป้าหมายการก้าวเข้าสู่ Net Zero เป็นรายแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ.2565 ยุติการทำงานทั้งหมดในบริษัท แสนสิริ จำกัด มหาชน ในตำแหน่ง ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ รวมทั้งทุกตำแหน่งในฐานะกรรมการบริษัท และกรรมการชุดย่อยของบริษัท ได้แก่ ประธานกรรมการบริหาร รองประธานกรรมการลงทุน และกรรมการบรรษัทภิบาทลและความยั่งยืน โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2566 เป็นต้นไป
พ.ศ.2566 ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยหนึ่งในแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย