“บัวหลวง” มอง SET ปีนี้ทะลุ 1,600 จุด แนะลงทุน 10 หุ้นรับเศรษฐกิจฟื้น

“บล.บัวหลวง” มอง SET ครึ่งปีหลังทะลุกรอบ 1,600 จุด รับรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ-กลุ่มท่องเที่ยว-กลุ่มธนาคาร ฟื้นตัว แนะลงทุน 10 หุ้นเด่นท้ายปีนี้


นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง มีมุมมองภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 66 ว่า อาจอยู่ในลักษณะ “Swing แบบ Sideways” โดยมองกรอบด้านล่างดัชนีระดับ 1,500 จุด ส่วนกรอบบน 1,625 จุด ถ้ามองจากระดับดัชนีตอนนี้ดาวไซด์ (Downside) ของตลาดมีไม่มากนัก ดังนั้นหากนโยบายของพรรคเพื่อไทยสามารถทำได้จริง ตลาดหุ้นน่าจะตอบรับในเชิงบวก ส่วนประเด็นม็อบลงถนนในระยะ 1-3 เดือนยังเร็วเกินไปที่จะเกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่ต้องให้เวลารัฐบาลใหม่บริหารบ้านเมือง และมีประเด็นที่ไม่ชอบธรรม ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 12 เดือน

สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่น่ากังวลในเชิงการลงทุน คือ เรื่องนโยบายภาครัฐ การบริหารเงิน Digital wallet หัวละหนึ่งหมื่นบาทสำหรับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป, ความพยายามแก้ไขกฎหมายให้มีการจัดเก็บกำไรของผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้น, การเก็บภาษีซื้อขายหุ้น (Transaction Tax), การปรับค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงนโยบายด้านพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า ซึ่งเรื่องนี้นักลงทุนน่าจับตาดูเป็นพิเศษว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถทำได้ตามที่หาเสียงไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่

ส่วนปัจจัยต่างประเทศคือ เศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากการกีดกันการค้าจากรัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป-อียู โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี และผลกระทบภายในประเทศจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นฟองสบู่ และเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้ของผู้ประกอบการใหญ่ภายในประเทศ ปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปจีนในสัดส่วนประมาณ 12% ของมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมด หากรวมส่งออกจีนและประเทศที่เกี่ยวข้องกับจีนจะมีสัดส่วนกว่า 17% ดังนั้นหากเศรษฐกิจจีนหดตัวหรือฟื้นตัวช้ากว่าคาด หรือมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เศรษฐกิจและการลงทุน ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนแย่ไปกว่าเดิมจะส่งผลกระทบกับไทยทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว

การลงทุน หรือการดัมพ์ราคาสินค้าสู่ประเทศอาเซียนหรือตลาดโลก ซึ่งสินค้าบางอย่างจากจีนเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผู้ผลิตในไทยทำให้บริษัทไทยค้าขายยากขึ้น เช่น ธุรกิจวัสดุประเภทกระเบื้องห้องน้ำและกระเบื้องปูพื้น ปูนซีเมนต์ เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนไฟฟ้า อย่างไรก็ดีในฝั่งของสหรัฐฯ และยุโรป ในเรื่องของนโยบายการเงินที่มีความเข้มงวดอยู่แล้ว เชื่อว่าแนวโน้มข้างหน้าจะผ่อนคลายลง ต่างจากจีนที่แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่ไม่ได้ Aggressive มากนัก

“หากเศรษฐกิจจีนไม่ฟื้นตัว ตลาดหุ้นอาจเกิด Downside แต่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนยังเติบโตได้ใกล้เคียง 5.5% แต่ครึ่งปีหลังต้องออกแรงมากขึ้นในเชิงนโยบาย ไม่อย่างนั้นตัวเลขเศรษฐกิจจะชะลอต่ำกว่าเป้า เราเชื่อว่าหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจะกระทบอาเซียน เนื่องจากจีนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในหลายประเทศ ทั้งในเรื่องของนักท่องเที่ยวและการมีส่วนร่วมการบริโภคภายในอาเซียน ฉะนั้นต้องจับตาในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าจีนจะสามารถพาตัวเองฟื้นกลับมาเติบโตได้ตามเป้าหมายหรือไม่” นายชัยพร กล่าว

ทั้งนี้ มุมมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 66 ในเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่น่าจะเห็นในเดือน ก.ย.66 ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัว จากการเพิ่มมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ แต่โอกาสที่จะเห็นการ Downgrade ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจยังมีอยู่ในครึ่งหลังปี 66 เพราะผลกระทบจากนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐยังมีผลกระทบน้อยในปีนี้ แต่จะมีผลกระทบบวกในปีหน้าเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าในช่วงไตรมาส 4 ปี 66 จากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล, การส่งออกที่อาจ ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะเห็นในไตรมาส 4 ปี 66

อีกทั้ง ภาคท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเห็นการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอาจเห็นการ Downgrade จำนวนนักท่องเที่ยวจาก 28 ล้านคน ลงมาอยู่ 25 ล้านคน สาเหตุจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ออกนอกประเทศช้ากว่าคาด เนื่องจากค่าตั๋วเครื่องบินและค่าโรงแรมมีราคาแพงขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเน้นท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่าในเรื่องของอัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ในทิศทางค่อยๆ ปรับตัวลง ซึ่งเงินเฟ้อไม่ได้เป็นประเด็นกดดันมากนักต่อทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย จึงมองเงินเฟ้ออยู่ในขาลงแม้ว่าความเสี่ยงเรื่องราคาอาหารสัตว์

ขณะที่ราคาเนื้อสัตว์ยังมีอยู่ แต่ราคาหมูและไก่ก็ปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งจากมีการนำเข้าหมูเถื่อน ส่วนปรากฏการณ์เอลนีโญ ภัยแล้ง ถือเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 67 ต่อภาวะราคาอาหารที่จะปรับตัวสูงขึ้น สำหรับราคาน้ำมันดิบยังคงไม่ใช่จุดเสี่ยง เพราะอัตราการผลิตสำรองน้ำมันทั้งกลุ่มโอเปกและกลุ่มนอกโอเปกมีอยู่ และโอเปกยังคงขยายเวลาปรับลดการผลิตน้ำมัน แม้จะเป็นการขยายเวลาแบบเดือนต่อเดือน แต่มองว่าราคาน้ำมันยังอยู่ในจุดที่สมดุลและรับได้ เราคาดการณ์ราคาน้ำมันยังอยู่ในกรอบระดับ 80-90 ดอลลาร์/บาร์เรล

รวมไปถึงในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและนอนแบงก์ยังอยู่ในโหมด “ระมัดระวัง” จากคุณภาพหนี้ของ SME และคุณภาพของคนถือบัตรเครดิต ขณะที่อัตราการปล่อยสินเชื่อที่ผ่านมา การกู้ซื้อบ้านถูกปฏิเสธในระดับสูงเกิน 25% หรือ 1 ใน 4 สอดคล้องกับระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังสูงกว่า 80% เรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับรัฐบาล ชุดใหม่ เพราะหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาครัฐเมื่อเทียบ GDP อยู่ในระดับชนเพดาน ดังนั้นการกระตุ้นหรือการกู้จะทำได้ค่อนข้างลำบากและต้องระมัดระวัง

นายชัยพร กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มหุ้นน่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี 66 คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ภายในประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว และนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เราจึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ใน 1. กลุ่มธนาคาร เนื่องจากการควบคุมความเสี่ยงได้ดี, เงินกองทุน CAR ตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศยังอยู่ในระดับสูง มีความมั่นคง ถือว่าบาลานซ์ได้ดี ส่วนนอนแบงก์หรือไฟแนนซ์ที่ปล่อยกู้คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ยังมีความเสี่ยงกับคุณภาพของลูกหนี้ ฉะนั้นแนะนำชะลอการลงทุนในกลุ่มนอนแบงก์ไปก่อน

โดย 2. กลุ่มบริโภคภายในประเทศ จากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านโทเคนให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยในรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อให้เงินกระจายในท้องถิ่นนั้น หากดูจากประมาณการเม็ดเงินที่แบงก์ชาติพูดถึง 5 แสนล้านบาท ต้องผ่านกระบวนการแก้กฎหมายขยายเพดานหนี้ก่อน แต่ในแง่ผลบวกเชิงเศรษฐกิจการหมุนเวียน การบริโภคภายในประเทศในระยะสั้นน่าจะดีขึ้น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน่าจะดีและได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น

รวมทั้ง 3. กลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า และประเทศไทยยังเด่นในด้านอาหาร Street food, spa และ services

ส่วนกลุ่มที่เรายังคงแนะ Underweight หรือ มองเชิงลบ คือ 1. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคก่อสร้าง เนื่องจากการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐยังทำได้ยากถัดจากนี้ ด้วยข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะที่สูง ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนจะรอจนเห็นนโยบายของภาครัฐชัดเจนก่อน 2. กลุ่มขนส่งเดินเรือ ในช่วงปีก่อนทำได้ดีมาก แต่ปีนี้ค่าระวางลดลงมากกระทบกำไรบริษัทเดินเรือ เราจึงมองว่าปีหน้าจะดีเฉพาะรถไฟกับสนามบิน

สำหรับ 3. กลุ่มปิโตรเคมี Spread ยังไม่ดี ซัพพลายเข้าสู่ตลาดค่อนข้างมาก สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน (Asset Allocation) เราแนะนำลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน Investment Rating สัดส่วน 32% ทองคำ 13% ส่วนที่เหลือแนะลงทุนในตลาดหุ้น 55% โดยตลาดหุ้นต่างประเทศที่เราชอบ คือ เวียดนาม ฮ่องกง และสหรัฐฯ

ทั้งนี้ หุ้นน่าสนใจครึ่งปีหลัง บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT, บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT, บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ NYT, บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO, บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT

Back to top button