GFC เทรดสนั่น! ลุ้นวิ่งแตะเป้า 11.30 บาท ระดมทุนเสริมแกร่ง “ศูนย์มีบุตรยาก”

GFC ผู้นำบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก เข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาด mai วันแรก ลุ้นวิ่งแตะเป้า 11.30 บาท จากราคาไอพีโอ 7 บาท ระดมทุนขยายธุรกิจเพิ่มโอกาสการเติบโต


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ก.ย.66) หลักทรัพย์บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC เตรียมเข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรกในหมวดธุรกิจ โดยมี บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ GFC เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากรายแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งแต่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจนการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์

นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GFC เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้น GFC เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai หมวดธุรกิจบริการ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งแต่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจนการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์

สำหรับเม็ดเงินระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯจะนำไปขยายการลงทุนโครงการคลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 เพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากครอบคลุมทุกมิติมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถขยายพื้นที่การให้บริการเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับการเพิ่มศูนย์ฝึกอบรมนักเทคนิคการแพทย์ ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายตัวสำหรับรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้ารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติในอนาคต

โดยบริษัทฯพร้อมขับเคลื่อนองค์กร ให้สอดรับกับวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ที่มีความมั่นคง ยั่งยืน และยึดมั่นในหลักจริยธรรม พร้อมทั้งเชื่อว่าคลินิกดังกล่าว จะเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของกรุงเทพฯ สำหรับการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีบุตรยาก

นอกจากนี้ ยังลงทุนในโครงการคลินิกสาขาอุบลราชธานี เพื่อขยายฐานการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากไปยังกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งแผนการขยายการลงทุนดังกล่าว ถือเป็นยุทธ์ศาสตร์การกระจายความเสี่ยงของรายได้ ที่ไม่อยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็น New S Curve ที่จะสร้างการเติบโตให้บริษัทฯในอนาคต

ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของคณะผู้บริหาร ทีมแพทย์ ทีมนักเทคนิคการแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการมีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และพนักงานทุกคน ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของครอบครัวที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก ภายใต้การมุ่งมั่นในการเติมเต็มความฝันของทุกครอบครัวให้เป็นจริง เนื่องจากกลุ่มบริษัท GFC ให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผ่าน 5 กลุ่มการให้บริการ

ได้แก่ 1.การให้บริการตรวจเบื้องต้นก่อนให้คำแนะนำหรือรักษา 2.การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี IUI 3.การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี ICSI 4.การให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน (NGS) และ 5.การให้บริการแช่แข็งไข่และการฝากไข่ ซึ่งตอบโจทย์ทุกการให้บริการ

ดังนั้นการระดมทุนในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับให้บริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีบุตรยากครอบคลุมทุกมิติมากยิ่งขึ้น และเพิ่มศักยภาพสถานะทางการเงิน ของ GFC ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเตรียมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ด้าน นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินว่า มั่นใจว่าหุ้น GFC จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากบริษัทฯมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และโอกาสการเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายหลังเข้าระดมทุน และด้วยจุดแข็งของ GFC ในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยากแบบเฉพาะทางรายแรก ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว GFC ยังเป็นศูนย์รวมแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชั้นนำด้านการเจริญพันธุ์ เพื่อผู้หญิงยุคใหม่ และคู่สมรสที่อยากมีบุตรที่สมบูรณ์ แข็งแรง มาเติมเต็มความสุขของครอบครัว จากแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชและเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยากมากกว่า 23 ปี โดยพิสูจน์จากอัตราความสำเร็จ (Success Rate) ที่ GFC มีเป็นเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการรักษาการตั้งครรภ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมถึง 72.29%

“เชื่อมั่นว่าหุ้น GFC จะเป็นอีกหุ้น Growth Stock ที่สร้างอัตราผลตอบแทนที่น่าจับตามอง อย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ที่สำคัญบริษัทฯ มีเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจที่โดดเด่น และในอนาคตไกลจากแผนขยายการลงทุนที่ชัดเจน รวมถึงเป็นธุรกิจเงินสด ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้นจึงสะท้อนให้เห็นความโอกาสและศักยภาพในการเข้าลงทุนในหุ้น GFC”

ล่าสุด 5 โบรกเกอร์ ได้แก่ บล.บียอนด์, บล.โกลเบล็ก, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.กรุงศรี พัฒนสิน และ บล.ดาโอ ประสานเสียง GFC เป็นหุ้นน้องใหม่ IPO น่าลงทุนและมีความโดนเด่น ประเมินราคาเป้าหมายที่ระดับ 9 – 11.30 บาทต่อหุ้น จากราคาเสนอขาย IPO ที่ 7 บาทต่อหุ้น เนื่องจาก GFC เป็นหุ้นเฉพาะทางด้านการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ซึ่งจัดอยู่ในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่น่าจับตา

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ GFC โดยให้ราคาเป้าหมายที่เหมาสมที่ระดับ 11.30 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E ปี 2567 ที่ 28 เท่า มองทิศทางการเติบโตทางธุรกิจ GFC จะมีกำไรสุทธิเติบโตในปี 2566 -2568 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR)  ที่ 21.3% พร้อมคาดการณ์อัตรากำไรสุทธิของ GFC จะเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2566 เป็น 21% ในปี 2568

ทั้งนี้จากการขยายสาขาใหม่ “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี” จะเป็นการรองรับการให้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะผลักดันการเติบโตของ GFC  เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ให้ราคาเหมาะสม “GFC” ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากของประเทศไทย ทั้งจากคนไข้ต่างชาติในแง่ Medical Tourism ประกอบกับอัตราค่าบริการการรักษาที่ถูกกว่าประเทศในภูมิภาคราว 40% และถูกกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วราว 68%

นอกจากนี้ จำนวนประชากรไทยที่เกิดใหม่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาภาวะ มีบุตรยากจึงเป็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจรักษาภาวะมีบุตรยากของประเทศไทยจากคนไข้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมประเมินรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2566 อยู่ที่ 312 ล้านบาท และในปี 2567 ประเมินรายได้อยู่ที่ 479  ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 32% ต่อปี ปัจจัยสนับสนุน คือ

1) คลินิกสาขาเดิมพระราม 3 เติบโตตามแนวโน้มจำนวนคนไข้ที่เข้ามารับบริการเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์โควิด 19 ที่คลี่คลายลง ซึ่งคาดจะเติบโตเฉลี่ยราว 10% ต่อปี และ 2) การขยายคลินิกสาขาใหม่ 2 แห่ง คือ คลินิกสาขาสุวรรณภูมิ พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี ขณะที่กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 49 ล้านบาท เติบโต 25% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2567 อยู่ที่ 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 12% ต่อปี

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ GFC ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น โดย re-lated PE ของ GFC ที่ระดับ Premium กลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) GFC มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันจากจุดเด่นศักยภาพให้บริการครบวงจร มีทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และมีชื่อเสียงในตลาด

2) มีการใช้เทคโนโลยี EEVA ร่วมวินิจฉัยและประเมินตัวอ่อน ทำให้ในไตรมาส 1/2566 มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์จากวิธี ICSI และวิธี ICSI +NGS ที่ 68% และ 73% ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 45%

3) มีโอกาสเติบโตสูงจากการเปิด 2 สาขาใหม่ และขยายลูกค้าต่างชาติ จะเป็น S-Curve ใหม่ของการเติบโตระยะยาว 4) ธุรกิจหลักของ GFC อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตขาขึ้น

และ 5) การให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากเป็นบริการเฉพาะกลุ่ม ทำให้ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวต่อราคาไม่มากและมีอัตราทำกำไรสูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาล พร้อมประเมินการเติบโตของ GFC ในปี 2567 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 77 ล้านบาท และในปี 2568 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 91 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี 32% CAGR จากปัจจัยสนับสนุน

1) รายได้เติบโตต่อปีเพิ่มขึ้น 24% CAGR จากการเปิด 2 สาขาใหม่ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 2) ปี 2568 เริ่มเห็นผลบวก Economies of scale ของผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มี Gross margin ที่ 45.9% ดีขึ้นจากปี 2567 และ 3) ค่าใช้จ่ายการเงินลดลงตามเงินกู้สถาบันการเงินลดลงในปี 2567-2568

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม 10 บาท (บน EPS 0.39 บาท ในปี 2567) ด้วยวิธีเปรียบเทียบ Relative PE ของปี 2567 กับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีคลินิก IVF เกือบทุกแห่ง และบริษัทต่างประเทศที่ทำคลินิก IVF ซึ่ง เทรด P/E ปี 2567 ที่ระดับ 20.5-25.5 เท่า แม้ GFC เป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่หากเทียบอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ GFC ปี 2567 ที่ 45% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10-15% ของหุ้นกลุ่ม

ดังนั้นราคาเหมาะสมควรใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงพยาบาลของไทยที่ระดับ P/E 25.5 เท่า พร้อมทั้งได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567 ของ GFC เติบโต 45% จากการเปิดคลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคาดว่าบริษัทจะยังคงศักยภาพในการเติบโตในปี 2566-2567 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนหลักมาจากการเปิดคลินิกสาขาใหม่ ที่จะสามารถเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรายได้บริการตรวจโคโมโซม และฝากไข่เพิ่มมากขึ้นหลังมีขยาย LAB เพิ่มขึ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเหมาะสมที่ 9 บาทต่อหุ้น อิงค่า PER ปี 2567 ที่ี 25 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากการรักษาภาวะมีบุตรยาก มีความซับซ้อนและต้องการความใส่ใจมากกว่าการรักษาโรคทั่วไป รวมถึงมีอัตราในการทำกำไรมากกว่ารพ.ทั่วไป ทั้งนี้ได้ประเมินกำไรปี 2566 อยู่ที่ 51 ล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2567 ประเมินกำไรอยู่ที่ 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากรายได้ปี 2566 เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากปัญหาของสุขภาพของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ที่มีความเสี่ยงต่อการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนคนไข้เข้ารับการรักษามากขึ้น

ขณะที่รายได้เติบโตแต่ในปี 2566 กำไรถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายของพนักงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจากการเตรียมตัวขยายสาขาในช่วงปลายปี 2566 และเชื่อว่าบริษัทจะมีกำไรจะกลับมาเติบโตในปี 2567 จากการขยายฐานคนไข้ทั้งในกรุงเทพฯ และอุบลราชธานี ที่สามารถรองรับทั้งคนไข้ในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ จีน, อินเดีย, ยุโรป, ลาว และกัมพูชา ได้มากขึ้น

Back to top button