จับตา FTSE เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย 2.5 พันลบ. KBANK มากสุด 500 ล้านบาท
FTSE เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย 2.5 พันล้านบาท KBANK มากสุด 500 ล้านบาท MINT-PTT-AOT-BDMS-SCB เฉลี่ยหุ้นละ 107-286 ล้าน ด้าน TRUE ผงาดขึ้น “Large Cap” ลุ้นวิ่งคึกพรุ่งนี้
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ KCS ระบุว่า ฟุตซี่ (FTSE) ประกาศผลการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดที่เข้าและออกในการคำนวณดัชนี FTSE SET Index Series รายไตรมาสมีผลบังคับใช้ ณ ราคาปิดพรุ่งนี้(15 ก.ย.66) โดยการ Rebalance ของ FTSE คาดหุ้นไทยจะถูกเพิ่มน้ำหนัก 70 ล้านเหรียญฯหรือคิดเป็นเงินราว 2,500 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่ถูกเพิ่มมากสุดคือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK (15 ล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็นเงินราว 500 ล้าน) ส่วน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เพิ่มน้ำหนักหุ้นละ 8-3 ล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็นเงินราว 107-286 ล้านบาท ขณะที่ STGT เป็นหุ้นที่จะถูกปรับลดน้ำหนัก (-5 ล้านเหรียญฯหรือคิดเป็นเงินราว 178 ล้าน)
ส่วนการปรับน้ำหนักในดัชนีต่างๆ มีหุ้นเข้า- ออกดังนี้ FTSE SET Large Cap Index หุ้นเข้าได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ส่วนหุ้นออก Large Cap ได้แก่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC
ส่วน FTSE SET Mid Cap Index หุ้นเข้าได้แก่ AWC, GPSC ส่วนหุ้นออก Mid Cap ได้แก่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT และ TRUE
ด้าน FTSE SET Small Cap Index หุ้นเข้า ได้แก่ STGT ส่วนหุ้นออก Small Cap ได้แก่ บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) หรือ VIBHA
ส่วน FTSE SET Micro Cap Index หุ้นเข้า ได้แก่ บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE, บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA, บริษัท บี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ B, บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC, บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG,ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไฮโดรเจน หรือ HYDROGEN,ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล หรือ LHHOTEL,บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX,บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ OISHI, บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW, บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC,บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL, บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF, บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือRCL, บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN, บริษัท ไทยรุ่งยูเนียนคาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRU
ด้านหุ้นออก Micro Cap ได้แก่ บริษัท เซเว่น ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ 7UP, บริษัท แอดวานซ์ คอนเนคชั่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ACC, บริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จำกัด (มหาชน) หรือ AIE,บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ AMR, บริษัท เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ APCS, บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY,บริษัท ไบโอ กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เทค จำกัด (มหาชน) หรือ BIOTEC, บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือCFRESH, บริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CSS, บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE,
บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ FN, บริษัท โพสโค-ไทยน๊อคซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ INOX, บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY, บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MDX,บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI,บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME, บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML,บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน หรือ RT, บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE,บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SDC, บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB,บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)หรือ SJWD, บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY, บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM, บริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SRICHA, บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) หรือ SUC, บริษัท ทรอปิคอลแคนนิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TC, บริษัท ทีมพรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TEAM, บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ W, บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP
อนึ่งดัชนี FTSE SET เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ FTSE Group โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการยกระดับดัชนีของตลาดทุนไทยให้มีสูตรการคำนวณที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งเพื่อรองรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ