คัด 3 หุ้นเด่น รับนโยบายลด “ราคาน้ำมัน” กระทบจำกัด

โบรกมองครึ่งหลังปี 66 รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันขาขึ้น และเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบที่จำกัดจากนโยบายพลังงานใหม่ ยังชอบหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น ชูหุ้น PTTEP-SPRC และ TOP


บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังจากวานนี้ (13 กันยายน 2566) มีมติให้ลดภาษีน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาทต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บภาษีอยู่ 5.99 บาทต่อลิตร เพื่อให้กรอบราคาดีเซลขายปลีกไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันที่จำหน่ายอยู่ 31.94 บาทต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่ 20 กันยายน 2566 ถึงสิ้นปีนี้

ทั้งนี้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะต้องเตรียมประชุมเพื่อดำเนินการลดราคาน้ำมันดีเซลให้เหลือ 30 บาทต่อลิตร โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาจัดการในขณะเดียวกัน ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน กระทรวงพลังงานจะพิจารณารายละเอียดแนวทางการช่วยเหลือแบบมุ่งเป้าให้แก่ผู้ใช้น้ำมันเบนซินกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างและแท็กซี่ และนำเสนอครม. พิจารณาอีกครั้ง

ทั้งนี้ ในระหว่างนี้ให้มีการกำกับดูแลราคาขายปลีกให้มีค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ประมาณ 2.00 บาทต่อลิตร ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)

สำหรับมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า ครม.มีมติให้ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือน ก.ย. ถึงเดือน ธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ทำให้ลงเหลือในอัตรา 4.10 บาทต่อหน่วย โดย กระทรวงพลังงานร่วมกับ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะดำเนินการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการคิดราคาก๊าซธรรมชาติ Pool gas ให้ไม่เกินค่าประมาณการคงที่ ประมาณ Bt305/mmbtu และให้นำส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับค่าก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บไปทยอยเรียกเก็บคืน ซึ่งจะทำให้ปรับลดราคาค่าไฟฟ้าลงได้อีก

นอกจากนี้จะมีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือส่วนลดค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมให้แก่กลุ่มเปราะบาง อาทิ การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน โดยกระทรวงพลังงานจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

อย่างไรก็ตาม ครม. มีมติให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่ระดับ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งจะมีมาตรการช่วยเหลือส่วนลดค่าก๊าซหุงต้มให้กับผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มเป้าหมาย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ที่มา: ประชาชาติ)

โดยทางฝ่ายวิจัยมองว่าการตรึงราคาน้ำมันดีเซลโดยการลดภาษีและการใช้กองทุนน้ำมันอาจจะส่งผลให้บริษัทค้าปลีกน้ำมันมีผลขาดทุนสต๊อกได้ ในขณะเดียวกันการควบคุมค่าการตลาดเบนซินที่เป็นไปได้ก็อาจจะส่งผลต่ออัตรากำไรโดยรวม โดยทั้งสองปัจจัยนี้อาจส่งให้ค่าการตลาดโดยรวม (และกำไรขั้นต้น) ลดลงได้

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (sensitivity analysis) ยังคงประเมินว่าทุกๆ 0.01 บาทต่อลิตรที่ค่าการตลาดโดยรวมลดลง จะกระทบกำไร 2566 ประมาณ 1.2% สำหรับ OR (ยอดขายเบนซินคิดเป็น 22% ของยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำมันในประเทศในไตรมาส 2/2566) และประมาณ 1.6%

สำหรับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG โดยเบนซินคิดเป็น 25% ของยอดขายรวม อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผลกระทบเชิงลบนี้จะถูดชดเชยด้วยปริมาณยอดขายน้ำมันที่จะสูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลในไตรมาส 4/2566 ในขณะเดียวกันมีมุมมองที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า แม้ว่าจะมีการปรับลดค่าไฟฟ้าลงมาที่ 4.10 บาทต่อหน่วย มากกว่าที่เคยมีข่าวออกมาที่ 4.25 บาทต่อหน่วย จากค่าไฟปัจจุบันที่ 4.45 บาทต่อหน่วย แต่แนวทางที่รัฐพยายามดำเนินการคือการปรับลดในส่วนของต้นทุนค่าก๊าซลงมาด้วย ซึ่งจะทำให้ผลกระทบต่อโรงไฟฟ้า SPP มีน้อยกว่าที่ตลาดประเมินต้องแบกรับการลดค่าไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยยังชอบหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นซึ่งได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันขาขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบที่จำกัดจากนโยบายพลังงานใหม่ โดยหุ้นที่ชอบ มีดังนี้

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจของ PTTEP ซึ่งคาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อนในครึ่งหลังของปี 2566 ตามปริมาณขายเฉลี่ยที่ดีขึ้นจากปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นของโครงการ G1/61 (เอราวัณ) และราคาขายเฉลี่ยน้ำมัน (liquid ASP) ที่ฟื้นตัวตามอุปทานที่ตึงตัวจากแผนการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+

ทั้งนี้เชื่อว่าค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (unit cost) จะยังลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อนจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเติมของโครงการ G1/61 โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 เพิ่มขึ้น 22% เป็น 8.07 หมื่นล้านบาท หลักๆ มาจากเป้าปริมาณขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นของบริษัท โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 180.00 บาท

ส่วน บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ระบุว่า บริษัทจะกลับมารายงานกำไรได้ในไตรมาส 3/2566 หนุนด้วย market GRM ที่สูงขึ้นจากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์แก๊สโซลีนที่ดีขึ้นในช่วงฤดูกาลขับรถของประเทศสหรัฐอเมริกา US ในระหว่างเดือนพฤษภาคม-กันยายน และตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นทั่วโลก รวมถึงพรีเมียมน้ำมันดิบ (crude premium) ที่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า

นอกจากนี้ เชื่อด้วยว่าบริษัทจะมีการรับรู้ stock gain ที่เป็นไปได้ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น จากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น 20% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ไตรมาส 4/2566 เชื่อว่าระดับปริมาณสินค้าคงคลังของผลิตภัณฑ์ light distillates และ middle distillates ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีจะช่วยสนับสนุนให้ crack spread ทรงตัวในระดับสูงได้ในไตรมาส 4/2566 โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ระบุว่า ภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นยังคงแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปี 2566 ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจโรงกลั่น สำหรับระยะเวลาที่เหลือของปีนี้จากสถานะตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ยังคงตึงตัวอยู่หนุนด้วยฤดูกาลขับรถของสหรัฐอเมริกา (US) และการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในภูมิภาค โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 64.00 บาท

Back to top button