MAGURO ยื่นไฟลิ่งขาย “ไอพีโอ” 34 ล้านหุ้น ปักหมุดเทรด mai
MAGURO ผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ยื่นแบบไฟลิ่ง เสนอขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 34,060,200 หุ้น เตรียมระดมทุนขยายสาขาร้านอาหารแบรนด์ต่างๆ และพัฒนาระบบบริหารงาน ปักหมุดเทรดตลาดหลักทรัพย์ฯ mai
นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ผู้นำร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม – แมส เปิดเผยว่า บริษัทฯ เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 ประกอบธุรกิจร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม– แมส ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Give More Culture” ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมี ร้านอาหารภายในเครือ ทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่
1.ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่น “MAGURO” (มากุโระ) 2. ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ตเตอร์) 3. ร้านชาบูและสุกียากี้ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมแบบตามสั่งในราคาที่คุ้มค่า ซึ่งในปัจจุบัน มีจานวนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 21 สาขา ประกอบไปด้วยร้านอาหาร MAGURO 12 สาขา ร้านอาหาร SSAMTHING TOGETHER 5 สาขา และ ร้านอาหาร HITORI SHABU 4 สาขา
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ “MAGURO CATERING” ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ“MAGURO GO” แพลตฟอร์มให้บริการอาหารญี่ปุ่นเดลิเวอรี่คุณภาพระดับพรีเมียมที่จัดส่งถึงที่ และในราคาและคุณภาพเทียบเท่าที่ร้าน
นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่เติบโตสูงและต่อเนื่อง โดยในปี 2564 – 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 387.61 ล้านบาท และ 665.85 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 71.78% และมีกำไรสุทธิ 9.57 ล้านบาท และ 31.36 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตสูงถึง 227.69% ในส่วนงวด 6 เดือนแรกในปี 2565 และปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 274.28 ล้านบาท และ 501.20 ล้านบาท ตามลำดับเพิ่มขึ้น 82.73% โดยมีกำไรสุทธิ 8.02 ล้านบาท และ 39.72 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นถึง 395.26%
โดยปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชาระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจานวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 27.03 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้