ATP30 ปักหมุดครึ่งหลังสดใส จ่อขยายรถอีวีเพิ่ม-ลูกค้าใหม่หนุน ดันรายได้ปีนี้โต 10%

ATP30 กางแผนทิศทางธุรกิจไตรมาส 3-4 โตต่อ จ่อขยายรถไฟฟ้าเพิ่ม รับความสนใจลูกค้าเก่า-ใหม่ล้นหลาม ตั้งเป้า 10 คัน ภายในปีนี้ พร้อมบริหารต้นทุน-ค่าใช้จ่ายดี รวมถึงราคาดีเซลลด ดันรายได้ปีนี้เติบโตตามเป้า 10%


นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทให้บริการรถไฟฟ้าจำนวน 5 คัน ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ศึกษาข้อมูลและคำนวณตัวเลขเพิ่มเติม พบว่าการให้บริการด้วยรถไฟฟ้าสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 65% เมื่อเปรียบเทียบกับรถเครื่องยนต์สันดาป

โดยเนื่องจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันมีทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ ให้ความสนใจขอใช้บริการรถไฟฟ้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทวางแผนขยายจำนวนการให้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมาย 10 คัน ภายในปีนี้ โดยอยู่ระหว่างการเจรจา และเตรียมพร้อมในการจัดหารถและให้บริการต่อไป

ทั้งนี้ บริษัทมีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟ แผงโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการเดินรถไฟฟ้าได้ประมาณ 30% และคาดว่าจะสามารถขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น ให้สอดรับกับปริมาณรถไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 3/66 ต่อเนื่องไตรมาส 4/66 แนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ดี โดยบริษัทมีลูกค้าใหม่ที่เริ่มให้บริการและรับรู้รายได้เพิ่มจำนวน 5 ราย รวมจำนวนรถกว่า 51 คัน แบ่งเป็น การให้บริการรถบัส VIP ให้เช่า จำนวน 2 คัน แก่ บริษัท อาร์พี ทรานสปอร์ตเทชั่น จำกัด รวมถึง การให้บริการรับส่งพนักงานอีก 4 ราย ได้แก่ บริษัท ฝาจีบ จำกัด (มหาชน) หรือ CSC ให้บริการรถบัส 6 คัน, บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ WD ให้บริการรถบัส 21 คันและรถบัสไฟฟ้า 1 คัน,  บริษัท จีซี-เอ็ม พีทีเอ จำกัด หรือ GC-M PTA ให้บริการรถตู้ 9 คัน และ บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ SKC ให้บริการรถบัส 2 คัน และรถตู้ 10 คัน

นอกจากนี้ รถที่นำมาปรับปรุงสภาพตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา สามารถกลับมาให้บริการและรับรู้รายได้ตามปกติเต็มจำนวน อีกทั้งบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ และควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับ ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวลดลงซึ่งเป็นต้นทุนหลัก ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถการทำกำไรที่ดีขึ้น เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทปีนี้จะเติบโต 10% ตามแผนที่วางไว้

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 66 บริษัทมีรายได้รวม 327.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 311.88 ล้านบาท จำนวน 16.04 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.14% และมีกำไรสุทธิ 10.25 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.27 ล้านบาท จำนวน 14.02 ล้านบาท

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 66 บริษัทมีรายได้รวม 161.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 158.72 ล้านบาท จำนวน 2.28 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.44% และมีกำไรสุทธิ 7.21 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.07 ล้านบาท จำนวน 3.86 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 66 ที่มีกำไรสุทธิ 3.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 4.17 ล้านบาท หรือ 137.17% ประกอบกับบริษัทบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 26.77 ล้านบาท หรืออัตรากำไรขั้นต้น 16.69% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 25.18 ล้านบาท หรืออัตรากำไรขั้นต้น 15.15% ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น

Back to top button