TRUE โชว์ซินเนอร์ยี่ควบ “ดีแทค” 2.5 แสนล้าน เดินหน้า Single Grid เพิ่มศักยภาพ

TRUE เดินหน้าสร้างระบบโครงข่ายเดียว Single Grid คาดเสร็จภายในปี 68 หวังยกระดับประสบการณ์ใช้งานของลูกค้าให้ดีขึ้น พร้อมโชว์มูลค่าผลประโยชน์ “Synergies” คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสิทธิกว่า 2.5 แสนล้านบาท ก้าวสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำ


นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผลจากการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียเมื่อพิจารณาจากมูลค่าของกิจการ ซึ่งมีฐานความแข็งแกร่งและประสบการณ์จากผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตลาดไทยในการทำธุรกิจต่างๆ ตลอดจนมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย รวมถึงมีความครอบคลุมของช่องทางกระจายสินค้า และเทเลนอร์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการดำเนินกิจการด้านโทรคมนาคมที่เน้นเรื่องผลประกอบการและการสร้างผลกำไร วันนี้เราเป็นผู้นำในตลาดโทรคมนาคมเคลื่อนที่ของไทยด้วยยอดผู้ใช้งานมากกว่า 51 ล้านเลขหมาย

โดยมีผู้ใช้งานออนไลน์ 3.8 ล้านคน และผู้ใช้งานดิจิทัล 40 ล้านคน เราเปลี่ยนองค์กรของเราจากบริษัทโทรคมนาคมสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของไทย โดยการผสานธุรกิจด้านการเชื่อมต่อ และความสามารถในการดำเนินการธุรกิจ เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยการขยายขีดความสามารถไปยังกลุ่มผู้บริโภค กลุ่มธุรกิจ และกลุ่มอุตสาหกรรม จะสร้างโอกาสใหม่ในการเติบโตทางธุรกิจนอกเหนือบริการเชื่อมต่อด้วยวิสัยทัศน์ในการมุ่งสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำ

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า โครงการรวมโครงสร้างเสาสัญญาณระบบโครงข่ายเดียว (Single Grid) จะเป็นหัวใจหลักของการดำเนินงาน ในขณะที่บริษัทบูรณาการโดยการปรับลดโครงสร้างพื้นฐานที่ซ้ำซ้อนลง 30% แต่สร้างเครือข่ายที่รองรับสัญญาณเพิ่ม ครอบคลุม กว้างขึ้น และดีกว่าสำหรับลูกค้าของเรา โดยมุ่งเน้นการดำเนินการแบบเจาะลึกในรายละเอียด ลดช่องว่างพื้นที่ใช้งาน พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีเสาสัญญาณล้ำสมัยที่ผสานหลากหลายคลื่นความถี่

โดยการรวมโครงข่าย จะมุ่งเน้นความสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ใช้งานของลูกค้าให้ดีขึ้นด้วยชุดคลื่นความถี่แต่ละชุดที่มีการสร้างเครือข่ายที่มีความครอบคลุมที่ทับซ้อน และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ด้วยการดำเนินการจากพันธมิตรระดับโลก โดยตั้งเป้าโครงการระบบโครงข่ายเดียว (Single Grid) แล้วเสร็จภายในปี 2568

สำหรับ บริษัทจะมุ่งหน้าสร้างคุณค่าสำหรับลูกค้าด้วยความแตกต่างด้วยข้อเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายตรงความต้องการของลูกค้า โดยใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ที่มีความล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพ พร้อมกับบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ด้วยประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ

ทั้งนี้ การสร้างรายได้จากบริการ 5G การใช้กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย (Up-selling) และการเสนอขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง (Cross-Selling) ด้วยข้อเสนอพิเศษ พร้อมทั้งยกระดับการให้บริการลูกค้าแบบพรีเมี่ยมด้วยบริการดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับตัวของข้อเสนอในตลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) TRUE กล่าวว่า มากกว่า 100 ปัจจัยที่จะสร้างมูลค่าผลประโยชน์ที่ได้จากการควบรวมกิจการ 2.5 แสนล้านบาท โดย 15 อันดับแรกจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่ได้จากการควบรวมกิจการคิดเป็นร้อยละ 85 ของมูลค่ารวม ค่าใช้จ่ายหลักในการผสานรวมกันจะเกิดขึ้นภายในปี 2567 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทบรรลุผลประโยชน์ที่ได้จากการควบรวมกิจการสุทธิเป็นบวกในปี 2568 และมีกำไร โดยทรู คอร์ปอเรชั่นคาดว่าจะสามารถรับรู้การประหยัดกระแสเงินสดได้ในระดับคงที่ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ปี 2569 ด้วยการมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงโครงสร้างของต้นทุนอย่างต่อเนื่อง การใช้สินทรัพย์เพื่อให้ก่อประโยชน์สูงสุด และการเติบโตแบบมีกำไร EBTIDA จะเติบโตเร็วกว่ารายได้จากการให้บริการ โดยคาดว่าอัตรา EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการจะดีขึ้น 11 จุด (Percentage point) ภายในปี 2570

อย่างไรก็ดี ด้วยผลประโยชน์จากการรวมการจัดซื้อจัดจ้าง และระบบโครงข่ายเดียว (Single Grid) รวมถึงการรวมคลื่นความถี่ และความมีวินัยในการบริหารจัดการเงินลงทุนซึ่งฝังอยู่ในวิถีการทำงานของเรา ค่าใช้จ่ายการลงทุน CAPEX ของทรู คอร์ปอเรชั่นหลังจากการรวมเครือข่ายเสร็จสมบูรณ์คาดว่าจะลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงก่อนควบรวม ทั้งนี้ ในฐานะผู้นำในการให้บริการด้าน เทคโนโลยีที่มีจุดแข็งจากผู้ถือหุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่นพร้อมที่จะผลักดันประเทศไทยให้เข้าถึงโอกาสใหม่และส่งมอบคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกคน

สำหรับการคาดการณ์ในปี 2566 ของ TRUE ได้ระบุแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่มีการควบรวมจากรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) คงที่ และคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) รวมทั้งเงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท

Back to top button