SET เทรด 4 ชั่วโมงครึ่งน้อยหรือไม่!? เทียบ “บจ.” 828 ตัว รวมมาร์เก็ตแคปกว่า 18 ล้านลบ.
SET ซื้อขาย 4 ชั่วโมงครึ่งน้อยไปหรือไม่!? เทียบ "บจ." 828 บริษัท รวมมาร์เก็ตแคปกว่า 18 ล้านล้านบาท หากเปรียบกับตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ด้วยกันเองแล้ว ถือว่าเวลาซื้อขายหุ้นไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5-6 ชั่วโมง แต่ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่ซื้อขายเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง
เริ่มถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกครั้งกับช่วงเวลาซื้อขายของตลาดหุ้นไทยว่าเวลาอาจน้อยเกินไป ด้วยบริบทตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จากจำนวนบริษัทจดทะเบียน 828 บริษัท แบ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 620 บริษัท และบริษัทตลาดเอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 208 บริษัท รวมมาร์เก็ตแคปกว่า 18 ล้านล้านบาท แต่ว่าตลาดหุ้นไทยมีเวลาให้นักลงทุนซื้อขายเพียง 4 ชั่วโมง 30 นาที เท่านั้น
นอกจากนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้การเชื่อมโยงกับตลาดหลักๆในต่างประเทศ มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ทำให้เวลาการซื้อขายที่จำกัดเพียง 4 ชั่วโมงครึ่ง จึงอาจไม่เพียงพอเหมาะสมและไม่สอดคล้องกับความเป็นไปของตลาดทุนโลก
ดังนั้น นั่นหมายถึงผลทำให้เกิดการเสียโอกาส ทั้งนักลงทุน บริษัทหลักทรัพย์และตลาดหุ้นไทยโดยรวม
ทั้งนี้ หากเปรียบกับตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ด้วยกันเองแล้ว ถือว่าเวลาซื้อขายหุ้นไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ชั่วโมง (จีน 4 ชั่วโมง,อินเดีย 6 ชั่วโมง 15 นาที,มาเลเซีย 6 ชั่วโมง,อินโดนีเซีย 4 ชั่วโมง 30 นาที,ฟิลลิปปินส์ 4 ชั่วโมง 30 นาที,เกาหลีใต้ 6 ชั่วโมง,เวียดนาม 4 ชั่วโมง 15 นาที)
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่ซื้อขายเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง นั่นหมายถึงเวลาเทรดหุ้นไทย น้อยกว่าถึง 2 ชั่วโมง 30 นาที (สหรัฐ 6 ชั่วโมง 30 นาที,ญี่ปุ่น 5 ชั่วโมง,ออสเตรเลีย 6 ชั่วโมง,ฮ่องกง 5 ชั่วโมง 30 นาที,สิงคโปร์ 8 ชั่วโมง,อังกฤษ ชั่ว โมง 30 นาที,ฝรั่งเศส 8 ชั่วโมง 30 นาที,เยอรมนี 8 ชั่วโมง 30 นาที)
ก่อนหน้านี้ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวมีการพิจารณาขยายระยะเวลาการซื้อขายในตลาดด้วยการขยายเวลาการปิดตลาด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของ TSE โดยมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วยบริษัทหลักทรัพย์และนักลงทุนสถาบันต่างๆ โดยหวังการขยายเวลาการซื้อขายในตลาด จะช่วยดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อตลาด หลังเผชิญปัญหาระบบซื้อขายล่ม(1 ต.ค.63)
โดย TSE เป็นตลาดหลักทรัพย์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก (จัดอยู่ในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว) แต่มีการซื้อขายเพียง 5 ชั่วโมงต่อวันช่วงเวลา 09.00-15.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) และมีการพักเที่ยง 1 ชั่วโมง ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก(NYSE) มีการซื้อขาย 6 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน และตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSE) มีการซื้อขาย 8 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน
ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ยอมรับว่า จะมีทบทวนกฎเกณฑ์ และพิจารณาเรื่องเวลาการเปิดและปิดการซื้อขายใน SET และ TFEX ด้วยเนื่องจากสินค้าที่เทรดในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ มีความหลากหลายมาก อย่างเช่น DR หรือ DRx ที่อ้างอิงสินทรัพย์ต่างประเทศ
ดังนั้นต้องมาดูว่าต้องปรับเวลาให้สอดคล้องกันหรือไม่รวมถึงสินค้าในตลาด TFEX เช่น Gold Futures ต้องมีการขยายเวลาหรือไม่ รวมถึงการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยต้องปรับเปลี่ยนหรือไม่
สำหรับที่ผ่านมาจะเห็นนักลงทุนต่างประเทศ สนใจเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยมากขึ้น(Foreign-linked) รวมถึงนักลงทุนไทยก็มีความต้องการที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงเตรียมขยายเวลาการซื้อขายทั้ง SET, mai และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(TFEX)โดยจะทบทวนและดูความเหมาะสมใหม่ เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้สะดวกมากขึ้น
ส่วนสินค้าในตลาด TFEX เช่น สินค้าที่อ้างอิงตลาดเอเชีย เป็นตลาดที่มีการซื้อขายมากช่วงเช้า อาจพิจารณาขยายระ ยะเวลาการซื้อขายช่วงนั้นเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีการขยายเวลายังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม”
โดยแผนทำการศึกษาและทบทวนความเหมาะสมของเวลาการซื้อขาย จะมีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรมต่อไป
ก่อนหน้านี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ประกาศแผนกลยุทธ์ระยะ 3 ปี(2566-2568) เพื่อเตรียมพร้อมขยายการเติบโต ด้วยมีกลยุทธ์ 4 ด้าน ประกอบด้วย..
1)ทำตลาดทุนให้เป็นเรื่องง่าย เพิ่มโอกาสการระดมทุน และจะผลักดันให้มีบริษัทหรืออุตสาหกรรมใหม่ ๆ เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น รวมถึงมุ่งพัฒนาเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ ต่อยอดจาก LiVE Academy และ LiVE Platform เพื่อให้มีความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งระดมทุนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้จะมีการพัฒนาศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDX) เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายโทเค็นดิจิทัล ทั้ง investment token และ utility token ซึ่งจะได้เห็นในช่วงไตรมาส 3/2566
2)ยกระดับมาตรฐานเพื่ออุตสาหกรรม โดยเริ่มใช้ระบบซื้อขายใหม่ภายในไตรมาส 1/2566 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบนิเวศการลงทุน และรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ พร้อมยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งปรับ ปรุงกฎเกณฑ์การซื้อขายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยและให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไปและระบบซื้อขายใหม่
3)สร้างโอกาสเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัด จะมีพัฒนาการเผยแพร่ข้อมูลผ่าน SMART Marketplace เพิ่มข้อมูลเชิงสังเคราะห์และฟังก์ชั่น ที่ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ขณะเดียวกันจะมีการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียน ด้านสิ่งแวด ล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล เข้ามาไว้บน ESG Data Platform
4)ขับเคลื่อนองค์กรด้วยความยั่งยืน โดยตลาดหลักทรัพย์นำเรื่องของ ESG (Environment, Social และ Governance) มาขับเคลื่อนการดำเนินงานทั้งกระบวนการภายในและภายนอกองค์กร โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อองค์กรที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคมและด้านบรรษัทภิบาล
เวลาซื้อขายในตลาดหุ้นแต่ละประเทศทั่วโลก
1.ตลาดหุ้นฮ่องกง 5 ชั่วโมง 30 นาที
2.ตลาดหุ้นสิงคโปร์ 8 ชั่วโมง
3.ตลาดหุ้นมาเลเซีย 6 ชั่วโมง
4.ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 4 ชั่วโมง 30 นาที
5.ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 6 ชั่วโมง
6.ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (โตเกียวและโอซาก้า) 5 ชั่วโมง
7.ตลาดหุ้นออสเตรเลีย 6 ชั่วโมง
8.ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 4 ชั่วโมง 30 นาที
9.ตลาดหุ้นจีน (เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น) 4 ชั่วโมง
10.ตลาดหุ้นไทย 4 ชั่วโมง 30 นาที
11.ตลาดหุ้นเวียดนาม (โฮจิมินห์และฮานอย) 4 ชั่วโมง 15 นาที
12.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Nasdaq และ New York) 6 ชั่วโมง 30 นาที
13.ตลาดหุ้นแคนาดา 6 ชั่วโมง 30 นาที
14.ตลาดหุ้นอังกฤษ 8 ชั่วโมง 30 นาที
15.ตลาดหุ้นฝรั่งเศส 8 ชั่วโมง 30 นาที
16.ตลาดหุ้นเยอรมนี 8 ชั่วโมง 30 นาที
17.ตลาดหุ้นอิตาลี 8 ชั่วโมง 30 นาที
18.ตลาดหุ้นสวิตเซอร์แลนด์ 8 ชั่วโมง 30 นาที
19.ตลาดหุ้นเนเธอร์แลนด์ 8 ชั่วโมง 30 นาที
20.ตลาดหุ้นสวีเดน 8 ชั่วโมง 30 นาที
21.ตลาดหุ้นสเปน 8 ชั่วโมง 35 นาที
22.ตลาดหุ้นกรีซ 8 ชั่วโมง 20 นาที
23.ตลาดหุ้นอินเดีย 6 ชั่วโมง 15 นาที
24.ตลาดหุ้นนิวซีแลนด์ 7 ชั่วโมง