“จิตตะ” เสนอรัฐจัดเก็บ “ภาษีเงินได้ตปท.” รายย่อยรับยกเว้น หากกำไรไม่ถึง 1 ล้าน
“กองทุนจิตตะ” เสนอแนวทางจัดเก็บภาษีต่างประเทศให้นักลงทุนรายย่อย ย้ำรัฐบาลพิจารณาจัดเก็บในอัตราภาษี กำไรจากเงินลงทุนสุทธิแล้ว ไม่ถึง 1 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี และกำไรตั้งแต่ 1-20 ล้านบาท คิด 10% หากมากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป คิด 20% สู่ความเป็นธรรมตาหลักสากล
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ นักลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และผู้ก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด หรือ Jitta ผู้ให้บริการเทคโนโลยี การวิเคราะห์หุ้นทั่วโลก ที่นักลงทุนไทยนิยมใช้เพื่อตัดสินใจลงทุนต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการศึกษาลงลึก รับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุน ที่ปรึกษาด้านกฏหมายภาษี รวมถึงได้เข้าร่วมหารือกับสมาชิกอื่นๆ ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เพื่อหาแนวทางที่ชัดเจนและเป็นธรรม ยื่นเสนอสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และกรมสรรพากรต่อไป
ทั้งนี้ ทุกคนเข้าใจดีว่าภาษีเป็นเรื่องสําคัญและเป็นภาระหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคนที่มีเงินได้ แต่สิ่งที่ต้องการเห็นคือความเป็นธรรมและเท่าเทียมในการจัดเก็บภาษีเงินได้ต่างประเทศ รวมถึงอยากเห็นความชัดเจนในการจัดเก็บ เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้ง่ายขึ้น
โดยข้อเสนอแนะของ Jitta เพื่อนักลงทุนรายย่อยมีดังนี้
1.ยกเว้นการเก็บภาษีจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศ เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่มีการยกเว้น Capital Gain Tax หรือ ประเทศสิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง ที่มีการยกเว้นภาษีส่วนนี้เช่นเดียวกัน เพื่อสนับสนุนให้นักลงทุนได้มีโอกาสกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนจากหุ้นบริษัทดีๆ ทั่วโลกได้ เพราะปัจจุบัน โลกแห่งการลงทุนนั้นไร้พรมแดนแล้ว เทคโนโลยีได้อำนวยความสะดวกมากขึ้น นักลงทุนไทยสามารถกระจายความเสี่ยง เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้ การจัดเก็บภาษีส่วนนี้ อาจจะไม่ได้ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นทางเศรษฐกิจมากนัก แต่กลับลดโอกาสในการแสวงหาการเติบโตของเม็ดเงิน และสกัดกั้นการนำเงินจากนอกประเทศ กลับมาหมุนเวียนในเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า
อย่างไรก็ตาม หากต้องมีการจัดเก็บภาษีส่วนนี้จริงๆ ขอให้พิจารณาจัดเก็บตามหลักสากล โดยอย่างแรกสุด คือ ให้คำนวณรายได้จากหลัก Net Capital Gain โดยนำกำไรมาหักลบกับขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนที่จะนับเป็นรายได้ เพราะการลงทุนในหุ้นนั้นมีความเสี่ยงมากกว่ารายได้ประเภทอื่น มีโอกาสทั้งกำไรและขาดทุน ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรมควรคำนวณภาษีแบบองค์รวม โดยคิดทั้งพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) เพราะสะท้อนถึงรายได้ที่แท้จริงจากการลงทุน เช่น ในสหรัฐฯ ที่สามารถนำผลขาดทุนมาหักออกจากกำไรได้ และหากปีไหนมีการขาดทุนมากกว่ากำไร ก็สามารถใช้ขาดทุนที่เหลือในปีต่อๆ ไปได้จนกว่าจะหมด หรือ ในสหราชอาณาจักรที่สามารถนำขาดทุนมาหักออกได้สูงสุด 4 ปี นับจากปีที่ขาดทุน
2.การแยกอัตราภาษี Capital Gain ออกมาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยกำหนดให้มีอัตราภาษีโดยเฉพาะ เช่น ที่สหรัฐฯ ถ้าลงทุนมานานกว่า 1 ปี จะถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว จะเสียภาษีในอัตราพิเศษสูงสุดที่ 20% และ หากกำไรไม่ถึง 44,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะได้รับยกเว้นภาษี หรือ กำหนดให้มีการหักลดหย่อนเพื่อความเป็นธรรม สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการลงทุน เช่น ในสหราชอาณาจักร สามารถนำกำไรจากการลงทุนมาหักลดหย่อนได้ 6,000 ปอนด์ กำไรส่วนที่เกิน ค่อยนำไปรวมกับรายได้อื่นๆ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปกติ
โดยจะเห็นได้ว่าหลักการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมีความชัดเจนและเป็นธรรมสำหรับนักลงทุนทุกราย หากมีการจัดเก็บภาษี จากการลงทุนในต่างประเทศของไทย Jitta จึงขอเสนอให้ทางภาครัฐ พิจารณาจัดเก็บในอัตราภาษี คือ กำไรจากเงินลงทุนสุทธิแล้ว ไม่ถึง 1 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี ตั้งแต่ 1-20 ล้านบาท คิดอัตราภาษี 10% และหากมากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป คิดอัตราภาษี 20% โดยสามารถนำขาดทุนมาหักออกได้ตามจำนวนที่ขาดทุน และใช้ในปีต่อๆ ไปได้จนกว่าจะหมด หรือครบ 5 ปี
“ชนชั้นกลางเป็นฐานใหญ่ของประเทศ จึงควรพยายามกระตุ้นเหมือนที่ทุกรัฐบาลพยายามกระตุ้นให้คนเก็บออม และลงทุน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตในด้านการเงินส่วนบุคคล และต้องกระตุ้นให้คนอยากลงทุน เพราะถ้าคนไม่ลงทุนเลย ก็จะเป็นภาระด้านงบประมาณสำหรับรัฐบาลในอนาคตที่จะต้องเข้ามาดูแลเช่นกัน” นายตราวุทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายตราวุทธิ์ ในฐานะที่เป็นนักลงทุนต่างประเทศ ยังให้คำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนต่างประเทศอยู่ในเวลานี้ว่า ไม่ควรรีบร้อนที่จะถอนการลงทุนเพราะความกังวลเรื่องภาษีจนลืมมองผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง เพราะระยะเวลาเพียง 3 เดือน มันค่อนข้างที่จะจัดการยาก และเท่าที่คุยกับนักลงทุนหลายท่านก็พบปัญหาว่า เมื่อนำเงินกลับมาในประเทศ ก็ไม่รู้ว่าจะนำไปลงทุนอะไรต่อ เพราะบางท่านมีพอร์ตส่วนหนึ่ง ที่ตั้งใจจะลงทุนในประเทศอยู่แล้ว ดังนั้นก็ควรรอความชัดเจนในเรื่องหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีก่อน เพื่อที่จะได้ทำเรื่องจัดการหรือวางแผนภาษีได้ถูกต้อง