“เอเชียพลัส” ชี้ SET ไตรมาส 4 ฟื้น แนะสะสม 7 หุ้นเด่น ปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุน
“เอเชีย พลัส” ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/66 ฟื้นตัว อานิสงส์ไฮซีซั่นท่องเที่ยว-นโยบายเร่งกระตุ้น พร้อมแนะนำ 7 หุ้นเด่น นำโดย AOT, SCGP, PTTEP, TOP, BCPG, TU, III พื้นฐานดี ราคาน่าสะสม และมีปัจจัยเฉพาะหนุนฟื้นตัวเด่น
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/66 มีโอกาสลุ้นกลับทิศเป็นขาขึ้น แม้มีความเสี่ยงการเกิด Recession ในสหรัฐฯ แต่ด้วยสถานการณ์เงินเฟ้อที่ทยอยดีขึ้นตามลำดับ ทำให้วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จบ
โดยตลาดคาดว่า เฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.5% จนถึงสิ้นปี ขณะที่เศรษฐกิจจีนเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว หลังตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจที่ออกมาสูงกว่าคาด อาทิ PMI ภาคการผลิต, ยอดนำเข้า-ส่งออก, CPI, PPI, ฯลฯ ในส่วนของประเทศไทยทั้งทิศทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อนับตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 66 จากภาคการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วง ฤดูกาลไฮซีซั่น และแรงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายของภาครัฐฯ ซึ่ง ธปท.ประเมิน GDP Growth ไทยปี 66 เติบโต 2.8% และปี 67 เติบโต 4.4% โดยฝ่ายวิจัยฯประเมินกรอบเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1,400-1,550 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย ASPS กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นไทยมีความน่าลงทุนมากขึ้น หลังปัจจัยต่างประเทศเริ่มผ่อนคลายลง ทั้งทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจากแรงในช่วงตามาส 3/66 และมีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก จะไม่ใช้นโยบายทางการเงินเชิงรุกเฉกเช่นเดียวกับช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่ประเด็นในประเทศเห็นพัฒนาการเชิงบวกมากเรื่อยๆ หลังผ่านระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ และน่าจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี
โดยการลดราคาพลังงาน, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และความคาดหวังการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป ส่วนในมุมฟันด์โฟลว์ หลังจากที่ต่างชาติขายสุทธิตราสารหนี้ไทย -1.6 แสนล้านบาท และหุ้นไทยอีก -1.4 แสนล้านบาทในปีนี้ จนเหลือสัดส่วนการถือครองทางตรงหุ้นไทยต่ำเพียง 23.9% หวังว่าจะเห็นการสลับเข้ามาซื้อสะสมสุทธิหุ้นไทยมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี โดยสถิติไตรมาสที่ 4 มักจะเป็นฤดูกาลที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสะสมหุ้นไทย สะท้อนได้จากใน 3 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในไตรมาสนี้ทุกปี ซื้อสุทธิเฉลี่ย 3.1 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น ภายใต้ SET INDEX ที่ย่อตัวลงมามากกว่า 10% ในปีนี้ จนมี PBV เหลือเพียง 1.46 เท่า ต่ำกว่าระดับ -1SD ที่ 1.52 เท่าแล้ว ซึ่งถือว่าอยู่ในโซนที่ Downside จำกัด และยังมี Upside จากการประเมินเป้าหมาย SET INDEX ปี 66 โดยอิง MEYG ที่ระดับ 3.3% ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% และ EPS ปี 66 ที่ 88.6 บาท/หุ้น จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 66 ที่ 1,524 จุด และ EPS ปี 67 ที่ 99.8 บาท/หุ้น จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 67 ที่ 1,717 จุด
ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นเมื่อ SET Index มี Valuation เริ่มน่าสนใจเฉกเช่นภาวะปัจจุบัน โดยเลือกหุ้นพื้นฐานเด่น ราคาน่าสะสม และมีปัจจัยเฉพาะตัวหนุนให้มีโอกาสฟื้นตัวเด่นกว่าตลาด นำโดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU และบริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III