พรีวิว 4 หุ้น “รพ.” กำไรไตรมาส 3 แกร่ง! จับตา BH โตสุดเฉียด 50%

BDMS-BH-CHG-EKH โบรกประเมินกำไรไตรมาส 3/66 เติบโตแกร่ง ทั้งช่วงเดียวของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า รับช่วงเข้าสู่ไฮซีซั่นมีผู้ป่วยเข้ารับบริการเพิ่มขึ้นทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน รวมถึงผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นมาก


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ของกลุ่มโรงพยาบาลว่าจะเติบโตแกร่ง ทั้งจากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ตามบทวิเคราะห์ประเมินไว้

ทั้งนี้ จากผลสำรวจกลับพบว่า BDMS, BH, CHG และ EKH มีความเป็นไปได้ว่าผลประกอบการจะเติบโตแกร่งดังต่อไปนี้

สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ได้มีการประเมินยังผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ว่าจะแข็งแกร่ง โดยคาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 3.67 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และ 19.8% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 26.3% ของประมาณการกำไรเต็มปีที่คาดไว้ 1.39 หมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกันเชื่อว่ากำไรของบริษัทในครึ่งหลังปี 2566 จะแข็งแกร่งขึ้นจากครึ่งแรกปี 2566 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล รวมถึงจำนวนผู้ป่วยต่างชาติฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ และ RSV เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2566

โดยคิดว่าการกลับมาของผู้ป่วยตะวันออกกลางจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานโดยรวมในครึ่งหลังปี 2566 โดยผู้ป่วยจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ขยับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งและสองของผู้ป่วยต่างชาติในช่วงดังกล่าวดังนั้นจึงคาดว่าอัตราการเข้าพักของ BDMS ในไตรมาส 3 ปี 2566 จะอยู่ในระดับน่าพอใจที่เกือบ ๆ 70% จาก 65% ในไตรมาส 2 ปี 2566

ขณะเดียวกันคาดว่าสัดส่วนผู้ป่วยชาวไทยของ BDMS จะอยู่ที่ 72% และผู้ป่วยต่างชาติจะอยู่ที่ 28% โดยสัดส่วนของผู้ป่วยนอกจะอยู่ที่ 47% และผู้ป่วยในจะอยู่ที่ 53% ดังนั้นคาดว่ารายได้ในไตรมาส 3 ปี 2566 จะอยู่ที่ 2.51 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น10.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8.5%  จากไตรมาสก่อน ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เป็น 35.2%

ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกปี 2566  จะอยู่ที่ 1.02 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน คิดเป็น 73.2% ของประมาณการกำไรเต็มปี

นอกจากนี้ มองบวกกับแนวโน้มของ BDMS ในไตรมาส 4 ปี 2566 โดยคาดว่าทั้งผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติจะกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากผลของปัจจัยฤดูกาล (หน้าฝน และหน้าหนาว) รวมถึงโครงการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับผู้ป่วยชาวไทย และมีการรักษาที่มี intensity มากขึ้นแก่ทั้งผู้ป่วยชาวไทย และต่างชาติ ดังนั้น จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เอาไว้เท่าเดิมที่ 1.39 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และคาดว่ารายได้ของ BDMS จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 1.48 หมื่นล้านบาทในปี 2567 ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 37.50 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ได้มีการประเมินยังผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ของ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH โดยคาดกำไรธุรกิจหลักจะเติบโต 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และ 25% จากไตรมาสก่อน เป็น 2.1 พันล้านบาท

ทั้งนี้ผู้ป่วยชาวต่างชาติซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ประมาณการสอดคล้องกับคำแนะนำของ BH ที่รายได้จะเติบโต 23-47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ซึ่งแสดงถึงการเติบโต 16-39% จากไตรมาสก่อน รวมถึงการเพิ่มจำนวนเตียงจาก 471 เตียงในไตรมาส 2 ปี 2566 เป็น 497 เตียงในไตรมาส 3 ปี 2566 คาดอัตราการเข้าพักจะคงระดับสูงที่ 80% ขณะที่ BH ปรับราคาขึ้นเฉลี่ย 6.6% ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีนี้ และอัตรากำไรสุทธิจะดีขึ้นเป็น 29.4% จาก 27.8% เนื่องจากการประหยัดต่อขนาด

นอกจากนี้ คาดกำไรธุรกิจหลัก 5.4 พันล้านบาทใน 9 เดือนแรกปี 2566 เพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน คิดเป็นสูงถึง 80% ของประมาณการปี 2566 เทียบกับ 77% ของกำไรทั้งปีในช่วงก่อนโควิดระบาดในปี 2558-2562 ดังนั้นจึงอาจมีอัพไซด์จากประมาณการ จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 282.00 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ได้มีการประเมินยังผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ของ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG คาดจะสามารถเติบโตได้ทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน รวมถึงไตรมาส 4 ปี 2566

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของ CHG กลับสู่ระดับปกติ โดยมีรายได้จากกลุ่มโรคซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น จากการเปิดเพิ่มศูนย์การแพทย์ตามโรงพยาบาล และมีรายได้จากกลุ่มคนไข้ต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การเปิดบริการ Chularat Medical Center จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ และคาดสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากคนไข้ A-Class และการเติบโตจะมาจากการลงทุนในโครงการ Century Care Nursing Home ที่มี Demand เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุการเติบโตจะมาจาก Organic Growth ของกลุ่ม Non-COVID และเป็นการเติบโตของรายได้ที่สูงกว่าช่วง Pre-COVID ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 3.94 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ได้มีการประเมินยังผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ของ บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH คาดแนวโน้มไตรมาส  3 ปี 2566 มองว่ากิจการจะยังคงทำรายได้เติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากเข้าสู่ highseason โดยมีผู้ป่วยเข้ารับบริการเพิ่มขึ้นทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยมองผู้ป่วยในศูนย์ฉุกเฉิน และกุมารเวชเพิ่มขึ้นเป็นหลัก เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในจังหวัดสมุทรสาครเพิ่มขึ้น และเป็นช่วงที่เด็กมีอัตราการป่วยที่สูง คาด Utilization rate จะขึ้นสูงเกินกว่า 90% และ EKI – IVF ฟื้นตัวดีหลังจานวนคนไข้ชาวจีนกลับมารับบริการมากขึ้น

ขณะที่ประมาณการผลประกอบการทั้งปี ในส่วนที่เป็นกิจการโรงพยาบาล EKH คาดรายได้ปี2566 อยู่ที่ 1,004 ล้านบาท และในปี 2567 อยู่ที่ 1,091 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตของรายได้ 3.9% และ 8.6% ตามลำดับ จากแนวโน้มการเข้ารับบริการที่เพิ่มขึ้นทั้ง IPD และ OPD ขณะที่การบริหารต้นทุนยังทำได้ดีจาก Utilization ที่สูง คาดทั้งปีอยู่ที่ 82.4% และ 90% ตามลำดับ

ส่วน EKI – IVF จำนวนผู้เข้ารับบริการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง และยาวไปจนช่วงต้นปีหน้า โดยมีปัจจัยหนุนมาจากผู้เข้ารับบริการที่ส่วนมากเป็นชาวจีน มีความต้องการที่จะคลอดลูกภายในปีมะโรงมากขึ้น คาดจานวน case จะแตะระดับที่ 300 case ในสิ้นปีนี้

ด้านโรงพยาบาลคูน ครึ่งปีหลังแนวโน้มยังคงรับคนไข้ได้ราว 20 เคส เพื่อการรักษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพ เนื่องจากจานวนบุคลากรยังไม่เพียงพอ แต่ในด้านของผลประกอบการกาไรเติบโตดีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ล่าสุดได้ร่วมมือกับ WPH ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลคูนอ่าวนาง เพื่อต่อยอดเป็น Palliative Care ในโซนภาคใต้ โดย EKH ถือหุ้นสัดส่วน 49% และWPH ถือหุ้นสัดส่วน 51% แผนก่อสร้างปี 2567 และรับรู้รายได้ได้ในช่วงปี 2568

ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิสิ้นปี 2566 อยู่ที่  247 ล้านบาท  คิดเป็นกาไรต่อหุ้นที่ 0.35 บาทต่อหุ้น และในปี 2567 อยู่ที่ 273 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่  0.32 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ แนะนำ “ซื้อ” โดยปรับประมาณการไปใช้มูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2567 ที่ 9.60 บาท

Back to top button