LHHOTEL เสนอขาย 10.20 บาท/หน่วย ผู้ถือเดิมจองซื้อ 16-20 ปชช.ทั่วไป 24-27 ต.ค.นี้
กองทรัสต์ LHHOTEL แจ้งราคาเสนอขายสูงสุดหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมที่ 10.20 บาทต่อหน่วย ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่ได้รับสิทธิเริ่มจองซื้อ 16 – 20 ต.ค.นี้ ประชาชนทั่วไป 24 – 27 ต.ค.นี้ คาดหลังลงทุนเพิ่มเติมโรงแรมพัทยา 2 แห่ง หนุนประมาณการผลตอบแทนสูงกว่า 10.5%
นางสาวจิตติสา เจริญพานิช ผู้บริหารงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า หลังจากทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) เดินหน้าแผนลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา จาก บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) ในเครือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ล่าสุดได้กำหนดราคาเสนอขายสูงสุดของหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมที่ 10.20 บาทต่อหน่วย และจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไปในวันที่ 20 ตุลาคม 2566 โดยได้ประมาณการอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนภายหลังการเข้าลงทุนในปีแรกกว่า 10.5%/2
ทั้งนี้ LHHOTEL พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหน่วยทรัสต์ โดยจะเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติม แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิม/1 ในวันที่ 16 – 20 ตุลาคม 2566 จองซื้อผ่านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กำหนดอัตราส่วนใช้สิทธิจองซื้อที่ 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.8549 หน่วยทรัสต์เพิ่มเติม โดยจองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุด 10.20 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้จะมีการคืนส่วนต่างค่าจองซื้อ กรณีราคาเสนอขายสุดท้าย ต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุด ส่วนประชาชนทั่วไป จองซื้อในวันที่ 24 – 27 ตุลาคม 2566 ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย ซึ่งจะประกาศในวันที่ 20 ตุลาคม จองซื้อผ่านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และผู้ร่วมจัดจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
นายยศวีร์ สุทธิกุลพานิช ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วม กล่าวว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยเฉพาะรีทกลุ่มโรงแรมที่ได้รับปัจจัยบวกจากภาพรวมการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวและนโยบายฟรีวีซ่าแก่จีนและคาซัคสถาน ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ณ
โดยปัจจุบัน LHHOTEL ถือเป็นกองทรัสต์โรงแรมที่มีมูลค่าทรัพย์สินและมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่ที่สุดในไทยและมีผลการดำเนินงานฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สะท้อนถึงศักยภาพของทรัพย์สินในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง และแหล่งไลฟ์สไตล์ของกรุงเทพฯ ล่าสุดเตรียมลงทุนเพิ่มเติมในสิทธิการเช่า โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้กองทรัสต์ที่เพิ่มขึ้น โดยโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา เปิดบริการในปีที่ผ่านมา ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบในธีมอวกาศที่มีเอกลักษณ์แห่งแรกในประเทศไทย ที่ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเช็กอินอย่างคึกคัก
ส่วนโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา ตั้งอยู่บนศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา มีอัตราเข้าพักฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งลูกค้าต่างชาติและคนไทยที่เป็นนักท่องเที่ยว และกลุ่มจัดสัมมนา ทั้งนี้ ได้ประมาณการอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนภายหลังการเข้าลงทุนในปีแรกอยู่ที่ประมาณ 10.5%/2
นายกิตติ วรบรรพต กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) ในเครือบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะ Sponsor ของ LHHOTEL กล่าวว่า พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลกที่มีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับที่ 15 ของโลก และได้รับปัจจัยบวกจากโครงการลงทุนต่าง ๆ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของภูมิภาคอาเซียนและ แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศ เป็นต้น ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมและการดำเนินงานของโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา ซึ่งเป็นโรงแรมระดับลักชัวรี่และโรงแรมระดับบนที่พัฒนาและบริหารงานโดยบริษัทฯ รวมถึงเป็นแลนด์มาร์คของย่านพัทยาเหนือ โดยผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี 2566 ของโรงแรมทั้ง 2 แห่งในพัทยาดังกล่าว มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 91% แม้ว่าปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวจีนยังไม่ได้เดินทางมาไทยเท่ากับช่วงก่อน COVID-19
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ LHHOTEL เปิดเผยว่า แนวโน้มการท่องเที่ยวของไทยในช่วงปลายปีนี้จะได้รับปัจจัยบวกจากการเข้าสู่ไฮซีซั่นและนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลชุดใหม่ จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีของการลงทุนภายใต้กองทรัสต์ประเภทโรงแรม ที่ได้รับผลเชิงบวกจากภาพรวมการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว อีกทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุด ส่งผลดีต่อการลงทุนในกองทรัสต์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของกองทรัสต์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 4.8% ถือว่าอยู่ในจุดที่น่าสนใจต่อการลงทุน โดยเฉพาะ LHHOTEL ที่มีผลการดำเนินงานฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบันมีทรัพย์สินโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ที่เข้าลงทุนแล้ว 3 โครงการในกรุงเทพฯ และอยู่ระหว่างเดินหน้าลงทุนเพิ่มเติมในโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา
ดร.ณัฐกวิน เจียมโชติพัฒนกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ LHHOTEL กล่าวว่า ปัจจุบัน LHHOTEL มีทรัพย์สินที่ลงทุน 3 โครงการ ได้แก่ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21 จำนวน 462 ห้องพัก, โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ จำนวน 497 ห้องพัก และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 จำนวน 442 ห้องพัก
โดยผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 ของโรงแรมทั้ง 3 แห่งดังกล่าว มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 90% และค่าห้องพักเฉลี่ยสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 แล้วกว่า 20% ขณะที่กองทรัสต์ LHHOTEL กลับมาจ่ายประโยชน์ตอบแทน (จ่ายปันผล) แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ ตั้งแต่งวดไตรมาส 3/2565 โดยช่วง 8 เดือนครึ่งแรกของปี 2566 จ่ายปันผลแล้ว 0.88 บาทต่อหน่วย ถือเป็นสถิติสูงสุดสำหรับรอบระยะเวลาเดียวกันนับจากจัดตั้งกองทรัสต์
ล่าสุด LHHOTEL เตรียมลงทุนเพิ่มเติมในโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา ซึ่งนับเป็นการกระจายการลงทุนสู่พัทยาเป็นครั้งแรก ซึ่งจะทำให้ LHHOTEL มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็นกว่า 20,000 ล้านบาท และมีอายุสิทธิการเช่าคงเหลือเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 22 ปีเศษ จากเดิมประมาณ 18 ปีเศษ รวมถึงมีการกระจายการลงทุนที่ดีขึ้น โดยมีสัดส่วนทรัพย์สินในกรุงเทพฯ 55% และพัทยา 45%