BCP ตั้ง “ROSE” วางแผน-บริหารงานโรงกลั่นน้ำมัน

BCP ประกาศจัดตั้ง “รีไฟเนอรี่ ออฟติไมซ์เซชั่น แอนด์ ชินเนอร์ยี่ เอนเตอร์ไพรส์” เพื่อวางแผน-บริหารงานธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท


บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ระบุว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ บริษัท รีไฟเนอรี่ ออฟติไมซ์เซชั่น แอนด์ ชินเนอร์ยี่ เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด หรือ ROSE เมื่อวันที่ 3 ต.ค.66 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการและให้บริการบริหารงานธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของ BCP และ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ให้เกิดประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สูงสุด และเกิดความเป็นธรรมโปร่งใสต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยครอบคลุมกระบวนการจัดหา, แผนการผลิต, แผนการขนส่ง, บริหารความเสี่ยงด้านราคา, บริหารการขาย และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมัน

ทั้งนี้ BCP และ ESSO พิจารณาจัดตั้ง ROSE ซึ่งมีวัตถุประสงค์ดังกล่าวโดยเฉพาะ เพื่อให้มีความชัดเจนโปร่งใสในเรื่องของคณะทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกลุ่มบริษัท ตลอดจนลดโอกาสในการเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 1 แสนหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นจาก BCP จำนวน 5 หมื่นหุ้น คิดเป็น 50% และ ESSO จำนวน 5 หมื่นหุ้น คิดเป็น 50%

ขณะที่แหล่งเงินทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนของ BCP ด้านคณะกรรมการบริษัท ROSE ประกอบด้วย ตัวแทนของ BCP และ ESSO โดยมีประธานกรรมการบริษัท ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ BCP และ ESSO โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการ (กรรมการอิสระจากภายนอก)

2.นายธรรมรัตน์ ประยูรสุข กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดย BCP

3.นางสาวกิตติมา วงศ์แสน กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดย BCP

4.นายอนุวัตร รุ่งเรืองรัตนากุล กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดย ESSO

5.นายวรากร โกศลพิศิษฐ์กุล กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดย ESSO

สำหรับรายละเอียดและลักษณะการประกอบธุรกิจของ ROSE โดยเป็นผู้ให้บริการสนับสนุนด้านบริหารงาน (Shared Service) สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและให้คำแนะนำในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของ BCP และ ESSO โดยมีขอบเขตการให้บริการหลักๆ ดังนี้ 1.วางแผนการกลั่น โดยใช้ Single Linear Programming (Single LP) ในการ Optimize โรงกลั่นน้ำมัน

รวมไปถึง 2.ผลจากการทำ Single LP จะใช้ในการคัดเลือกและจัดหาน้ำมันดิบ วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปจนถึงการวางแผนการขนส่งที่เกี่ยวข้อง, 3.การวางแผนการผลิตของแต่ละโรงกลั่น จะดำเนินการโดยผู้บริหารของแต่ละโรงกลั่น, 4.ผลประโยชน์ (Synergy Benefit) ที่เกิดจากการทำ Single LP จะแบ่งอย่างยุติธรรมและโปร่งใส และ 5.ให้คำแนะนำในการบริหารความเสี่ยงด้านราคาน้ำมัน (Hedging) ตามสถานการณ์ตลาด

Back to top button