เปิดโผ 15 หุ้น กำไรไตรมาส 3 เด่น รับฟันด์โฟลว์ไหลกลับ
บล.เอเซีย พลัส คัด 15 หุ้นบลูชิพ กำไรไตรมาส 3/66 โดดเด่น รับฟันด์โฟลว์ไหลกลับ นำโดย TOP-ADVANC-WHA-GULF โชว์กำไรเพิ่มขึ้นมากสุด เทียบปีก่อนและไตรมาสก่อน วันนี้จับตารายงานประชุม FOMC หากเป็นบวก ดัชนีหุ้นไทยไปต่อ แนวต้านเดือนนี้บริเวณ 1,535-1,540 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ของวันที่ 19-20 ก.ย.ที่ผ่านมา หากออกมาไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดก็คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคมนี้ มีโอกาสค่อย ๆ ฟื้นตัว หลังจากธนาคารสหรัฐอเมริกาหลายสาขา มีความเห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะสิ้นสุดได้แล้ว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท
โดยค่าเงินบาทวานนี้ (11 ต.ค.) เป็นสกุลเงินที่แข็งค่าเพิ่มขึ้นสูงสุดติด 1 ใน 4 ของเอเชีย ซึ่งมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดหุ้นไทย ล่าสุดฟันด์โฟลว์เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรระยะยาวในประเทศไทยวานนี้ ณ 14:40 น. เป็นยอดซื้อ 13,525 ล้านบาท เป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ซึ่งคาดว่าฟันด์โฟลว์จะทยอยเข้าลงทุนในหุ้นไทยตามมา โดยให้แนวต้านไว้บริเวณ 1,535-1,540 จุด ในเดือนนี้
ดังนั้นเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่จะเห็น Fund Flow กลับเข้ามาหนุน SET อีกครั้ง โดยเฉพาะบนภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังจะฟื้นนับจากไตรมาส 4 ปี 2566 ผสานความต่อเนื่องที่จะมีต่อจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital Wallet ใกล้ชัดเจน
ทั้งนี้ ยังคงแนะนำลงทุนหุ้นภายในประเทศ ที่มีรายได้และราคาที่ลดลงมาค่อนข้างมากช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT และหุ้นโรงไฟฟ้า บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงปรับสมดุลของตลาดเงิน หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือบอนด์ยีลด์ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 2-3 วันแล้ว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท
ขณะที่ภาพรวมรายได้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยก็ดี มูลค่าหุ้นค่อนข้างถูก ดังนั้นจึงมีแรงซื้อกลับเข้ามา โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ จากเดิมที่ถือหุ้นไทยสัดส่วน 30% ของมาร์เก็ตแคป แต่ปัจจุบันถืออยู่เพียงไม่ถึง 19% (ไม่รวม DELTA) ดังนั้นโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าจึงมีสูง ซึ่งต่างชาติจะมีโอกาสทำกำไรจากแคปปิตอลเกน และอัตราแลกเปลี่ยน (FX)
“หุ้นไทยตอนนี้เป็นช่วงดีดกลับ หลังจากตกแรงเกินไป ซึ่งบล.เอเซีย พลัส ได้คัด 15 หุ้น ที่คาดว่ากำไรในไตรมาส 3 ปี 2566 จะเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ให้นักลงทุนเลือกลงทุนในจังหวะที่หุ้นไทยกำลังจะเป็นขาขึ้น” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
โดยเมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 ที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี ลดลง 0.16% มาอยู่ที่ 4.64% หลังเริ่มเห็นเจ้าหน้าที่เฟดหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนาย Philip Jefferson รองประธานเฟด, นาย Lorie Logan ประธานเฟด สาขา Dallas, Mary Daly ประธานเฟด สาขา San Francisco ต่างออกมาสนับสนุนการตรึงดอกเบี้ย เนื่องจากค่อนข้างกังวลจากความเสี่ยงที่ตามมาในระยะถัดไป ซึ่งในคืนนี้ (วันที่ 12 ต.ค. เวลา 1.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) รอติดตามผลรายงานการประชุม FOMC Fed Minute เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ส่วนความกังวลเรื่องการสู้รบระหว่างอิสราเอล-ฮามาส แม้สถานการณ์สู้รบยังรุนแรง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการขยายวงไปสู่พันธมิตรที่สนับสนุนแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ยังต้องติดตามใกล้ชิด
สำหรับช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยผันผวนมาก และยังปรับขึ้นได้น้อยกว่าหลาย ๆ ประเทศ แต่ปัจจุบันแรงกดดันเริ่มลดน้อยลง ทั้งจากประเด็นในประเทศอิสราเอล และค่าเงินบาทมีการพลิกกลับมาแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ กลยุทธ์การลงทุนเพื่อการเพิ่มความมั่นใจในการลงทุน จึงคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานหนุนทั้งในระยะสั้น กลาง ยาว
โดยฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหาผ่านข้อมูล Bloomberg Consensus โดยเลือกหุ้นใน SET50 ที่มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 3 ปี 2566 เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน จำนวน 15 หุ้น ได้แก่ 1.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ประเมินกำไรสุทธิ 9,759 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 773.6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 83,253.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 62.20 บาท
2.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ประเมินกำไรสุทธิ 1,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 450.3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 414.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 66.8 บาท 3.บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ประเมินกำไรสุทธิ 2,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 293.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 24.3 บาท
4.บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ประเมินกำไรสุทธิ 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 290.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 5.6 บาท 5.บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประเมินกำไรสุทธิ 3,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 248.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 57.2 บาท
6.บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ประเมินกำไรสุทธิ 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.0% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 179.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 32.8 บาท 7.บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ประเมินกำไรสุทธิ 1,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 35.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 54.8 บาท
8.บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ประเมินกำไรสุทธิ 1,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 26.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 283 บาท 9.ADVANC ประเมินกำไรสุทธิ 7,371 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 22.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 252.3 บาท
10.บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ประเมินกำไรสุทธิ 4,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 16.4% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน ราคาเป้าหมาย 74.3 บาท 11. บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ประเมินกำไรสุทธิ 553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 16.4% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน ราคาเป้าหมาย 87.6 บาท 12.บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ประเมินกำไรสุทธิ 999 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 15.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 10.8 บาท
13.บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ประเมินกำไรสุทธิ 814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 37.9 บาท 14.บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ประเมินกำไรสุทธิ 966 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 28 บาท และ 15.บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ประเมินกำไรสุทธิ 3,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ราคาเป้าหมาย 34.2 บาท