BCP เทกโอเวอร์ ESSO เสริมแกร่งโรงกลั่น ดันมูลค่าเพิ่มนอนออยล์

สำหรับ BCP การได้ ESSO มาจะทำให้ธุรกิจโรงกลั่นของบางจาก มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเนื่องจากเอสโซ่ ผลิตได้ถึงน้ำมันเจ็ทหรือน้ำมันเติมเครื่องบิน ทำให้บางจากมีชนิดน้ำมันที่หลากหลายขึ้น นั่นหมายถึงค่าการตลาดก็จะสูงขึ้นด้วย


บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เป็นบริษัทเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนาน ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2507 ที่ตำบลบางจาก โดยกรมการพลังงานทหารกระทรวงกลาโหม แต่เมื่อดำเนินกิจการไป กลับประสบภาวะขาดทุนจนรัฐต้องเปิดประมูลให้เอกชนเช่าเป็นระยะเวลา 15 ปี ก่อนจะมีการยกเลิกสัญญาไป

ต่อมาได้มีการจดทะเบียนบริษัท ภายใต้ชื่อ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงกลั่น กระทั่งในปี 2537 ได้เข้าจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งแปรรูปบริษัทจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชนในที่สุด…

โดยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา BCP พยายามสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการรุกไปสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน ผ่านบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เพื่อลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานลม รวมทั้งการขยายไปสู่พลังงานทดแทนอื่น ๆ ผ่านบริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) ผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล

แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ BCP ต่อสู้ในสมรภูมิธุรกิจโรงกลั่นและน้ำมันได้ เนื่องจากโรงกลั่นยังเป็นโรงกลั่นยุคเก่า ซึ่งเดิมกลั่นได้แค่น้ำมันหนัก เช่น น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล แม้ที่ผ่านมามีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้มีความทันสมัยขึ้น เน้นการกลั่นน้ำมันใสมากขึ้น ซึ่งได้มาร์จิ้นที่ดีกว่า แต่คาปาซิตี้ยังมีข้อจำกัด

และด้วยภูมิศาสตร์ทำเลที่ตั้งโรงกลั่นอยู่ในเมือง ทำให้ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง จากการขนส่งหรือเช่าคลังเก็บน้ำมัน

ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ผ่านปั๊มน้ำมันแบรนด์ “บางจาก” นั้น มักผูกอยู่กับลูกค้าทั่วไป ประกอบกับพื้นที่ปั๊มมีขนาดเล็ก พื้นที่ในเชิงพาณิชย์ที่จะปล่อยเช่ามีน้อย ทำให้การสร้างแวลูจาก Non-oil มีข้อจำกัดเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เคยไปจับมือกับห้างบิ๊กซี (เมื่อครั้งยังเป็นของกลุ่มเซ็นทรัล) เปิดมินิบิ๊กซีในปั๊มน้ำมันบางจาก แต่พอห้างบิ๊กซีถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ในกลุ่ม “เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี” นโยบายเปลี่ยนไป ก็จบแค่นั้น ไม่เห็นการเปิดสาขาในปั๊มเพิ่มแต่อย่างใด

กลายเป็นโจทย์ทางธุรกิจที่ทำให้ BCP ต้องมองหาลู่ทางในการขยับขยายธุรกิจโรงกลั่น เป้าหมายเพื่อผลัดดันให้ค่าการกลั่นสูงขึ้น ส่วนปั๊มน้ำมันก็ต้องการอัพเกรดให้ทันสมัยขึ้น เพื่อสร้างแวลูให้ได้มากขึ้น

ประจวบเหมาะกับ ExxonMobil กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานสัญชาติอเมริกัน ต้องการถอนตัวจากประเทศไทยพอดิบพอดี เลยเป็นที่มาของการประกาศดีลซื้อกิจการบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เมื่อช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา

โดย BCP จะเข้าซื้อหุ้นจาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. จำนวน 2,283,750,000 หุ้น คิดเป็นประมาณ 65.99% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ESSO ราคาหุ้นละ 9.8986 บาท และทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดใน ESSO ไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น คิดเป็นประมาณ 34.01% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ในราคาเดียวกัน

ทั้งนี้ดีล BCP เข้าซื้อหุ้น ESSO ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เรียบร้อยแล้ว ภายใต้ 6 เงื่อนไข ประกอบด้วย

1.ห้ามมิให้ บางจากฯ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานภาครัฐ เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ

2.ให้บางจากฯ จัดซื้อน้ำมันดิบจากคู่ค้ารายใดรายหนึ่งไม่เกินกว่า 50% เป็นระยะเวลา 5 ปี

3.ให้บางจากฯ คงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างลูกค้าในตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้ทำไว้กับเอสโซ่ จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขในสัญญาเดิม

4.ให้บางจากฯ คงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบธุรกิจสถานีบริการภายนอกของแบรนด์ ESSO ที่ได้ทำไว้กับเอสโซ่ จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขในสัญญาเดิม

5.ให้บางจากฯ จัดทำแผนการพัฒนานวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและธุรกิจพลังงานสีเขียว โดยต้องดำเนินโครงการไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมา

6.ให้บางจากฯ จัดแผนการส่งผ่านประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมธุรกิจไปสู่ผู้บริโภคและสังคม โดยต้องดำเนินโครงการไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี และกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งได้รับแจ้งคำสั่งของคณะกรรมการ กขค.ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง

สำหรับสินทรัพย์ที่ BCP จะได้จาก ESSO ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ..1) โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน 2) เครือข่ายคลังน้ำมัน 3) สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 820 แห่ง

ดังนั้น การได้ ESSO มา อันดับแรก จะทำให้ธุรกิจโรงกลั่นของ BCP มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น เนื่องจาก ESSO ผลิตได้ถึงขั้นน้ำมันเจ็ท หรือน้ำมันเติมเครื่องบิน ทำให้บางจากมีชนิดของน้ำมันที่หลากหลายมากขึ้น นำมาสู่ฐานลูกค้าที่หลากหลายขึ้น นั่นหมายถึงค่าการตลาดก็จะสูงขึ้นด้วย

ถัดมาจะทำให้กำลังการกลั่นของ BCP เพิ่มขึ้นเท่าตัวแล้ว โดยปัจจุบันโรงกลั่นบางจาก มีกำลังกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 120,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปัจจุบันโรงกลั่นเอสโซ่ (ตั้งอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี) มีกำลังการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 170,000 บาร์เรลต่อวัน

ขณะเดียวกัน ก็ช่วยปลดล็อกต้นทุน สามารถใช้คาปาซิตี้ร่วมกันได้ เช่น จากเดิม BCP ต้องเช่าคลังที่ศรีราชา แล้วขนส่งมาโรงกลั่นบางจากที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง แต่หากมาใช้คลังน้ำมัน ESSO ที่ศรีราชา จะสามารถประหยัดค่าเช่าได้ปีละ 500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ BCP มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้รับประโยชน์ในเรื่องของเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมมากขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ

ในส่วนธุรกิจ Non-oil…ปัจจุบันบางจากมีสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 1,300 แห่ง การได้เอสโซ่ ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 820 แห่งเข้ามา ก็จะทำให้ธุรกิจค้าปลีกของ BCP ขยายได้มากขึ้น โดยเฉพาะการขยายสาขาร้านกาแฟอินทนิลในปั๊มเอสโซ่…ช่วยหนุนให้ธุรกิจ Non-oil มีโอกาสเติบโตมากขึ้น…

เมื่อมีปั๊มน้ำมันในเครือข่ายมากขึ้น สิ่งที่ตามมา จะทำให้เกิดการประหยัดขนาด หรือ Economies of Scale ดีขึ้น ต้นทุนขนส่งถูกลง สามารถสร้างแวลูได้มากขึ้นนั่นเอง

Back to top button