จับตา ESSO วิ่ง! โบรกชูเป้า 12 บาท หลัง “บางจาก” ปิดจ๊อบเทนเดอร์ 76%

“บางจาก” สรุปเทนเดอร์ฯ หุ้น ESSO รายย่อยขาย 358 ล้านหุ้น คิดเป็น 10.3% รวมของเดิมซื้อจากเอ็กซอนเป็น 76.3% มูลค่ารวม 2.6 หมื่นล้านบาท ตั้งบริษัท ROSE ทำแผนบริหารโรงกลั่นบางจากและเอสโซ่ เพิ่มผลผลิต-ลดต้นทุน โบรกฯ ประเมินไตรมาส 3/66 ของ BCP กำไรพุ่ง 1.2 หมื่นล้าน หลังรวมมูลค่าสินทรัพย์เอสโซ่ใหม่เข้ามา ราคาเป้าหมาย 49 บาท จับตา ESSO วิ่งฉิวหลังหมดเทนเดอร์ฯ เป้า 12 บาท


แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า จากกรณี BCP ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO จากผู้ถือหุ้นของเอสโซ่ทุกรายที่เหลือ (Mandatory Tender Offer) จำนวน 1,177,108,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 34.01% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ ที่ราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันที่ 8 ก.ย.-12 ต.ค. 2566 พบว่าหลังสิ้นสุดการทำเทนเดอร์ฯ (12 ต.ค.) มีผู้แสดงเจตนาขายหุ้น ESSO ในครั้งนี้ประมาณ 358 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 10.3% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,543 ล้านบาท โดยบริษัทกำหนดชำระราคาหลักทรัพย์ดังกล่าวในวันที่ 17 ต.ค.นี้

เมื่อรวมกับสัดส่วนหุ้น ESSO ที่บางจากฯ ถืออยู่เดิม 65.99% ของจำนวนหุ้น ESSO ทั้งหมด เท่ากับบางจากฯ มีสัดส่วนการถือหุ้น ESSO ทั้งสิ้น 76.3% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 26,000 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ บางจากฯ ได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญ ESSO จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดจาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. เมื่อเดือนมกราคม 2566 ต่อมาได้กำหนดราคาเสนอซื้อหุ้น ESSO ครั้งสุดท้ายที่ราคาหุ้นละ 9.8986 บาท ก่อนจะชำระค่าหุ้นดังกล่าวให้กับ ExxonMobil Asia Holding เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2566 คิดเป็นวงเงิน 22,605.93 ล้านบาท

ทั้งนี้ ภายหลังจากการควบรวมดังกล่าว คาดว่าโรงกลั่นทั้ง 2 แห่ง ของบางจากฯ และเอสโซ่ จะสามารถรับรู้ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกัน (Synergy) ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงร่วมกันจัดตั้งบริษัท รีไฟเนอรี่ ออฟติไมซ์เซชั่น แอนด์ ซินเนอร์ยี่ เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (บริษัท ROSE) ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ซึ่งบางจากฯ และเอสโซ่ ถือหุ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 50%

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการและให้บริการบริหารงานธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบางจากฯ และเอสโซ่ ให้เกิดประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สูงสุด และเกิดความเป็นธรรมโปร่งใสต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยครอบคลุมกระบวนการจัดหา แผนการผลิต แผนการขนส่งบริหารความเสี่ยงด้านราคา บริหารการขาย และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมัน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการดำเนินธุรกิจทั้ง 2 บริษัท ตลอดจนลดโอกาสในการเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

นอกจากนี้ บริษัท ROSE จะเป็นผู้ให้บริการสนับสนุนด้านบริหารงาน (Shared Service) สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและให้คำแนะนำในธุรกิจแก่โรงกลั่นน้ำมันของผู้ทำคำเสนอซื้อและกิจการ โดยมีขอบเขตการให้บริการหลัก ๆ ได้แก่ การวางแผนการกลั่น การคัดเลือกและจัดหาน้ำมันดิบ วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไปจนถึงการวางแผนการขนส่งที่เกี่ยวข้อง การแบ่งผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างโรงกลั่นทั้งสองแห่ง ซึ่งจะถูกพิจารณาและจัดสรรอย่างยุติธรรมและโปร่งใส โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายเป็นสำคัญ Benefit ที่เกิดจากการทำ LP ของทั้งสองโรงกลั่น และการให้คำแนะนำกับผู้ทำคำเสนอซื้อและกิจการในการบริหารความเสี่ยงด้านราคาน้ำมัน (Hedging) ตามสถานการณ์ตลาด

สำหรับคณะกรรมการบริษัท ROSE ประกอบด้วย ตัวแทนของบางจากฯ และเอสโซ่ ได้แก่ นายบวร วงศ์สินอุดม (ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระจากภายนอก), นายธรรมรัตน์ ประยูรสุข (กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดยบางจาก), นางสาวกิตติมา วงศ์แสน (กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดยบางจาก), นายอนุวัตร รุ่งเรืองรัตนากุล กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดยเอสโซ่ และนายวรากร โกศลพิศิษฐ์กุล กรรมการที่ได้รับการเสนอชื่อโดยเอสโซ่

ภายหลังจากการควบรวมกิจการ จะทำให้บางจากฯ มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มถึง 2,100 สาขา กำลังกลั่นน้ำมันรวมถึง 294,000 บาร์เรลต่อวัน  มีคลังน้ำมันและสินค้าผลิตภัณฑ์ที่สามารถจัดเก็บน้ำมันได้ 15 ล้านบาร์เรล ช่วยเพิ่มจำนวนเชื้อเพลิงสำรองและความมั่นคงทางพลังงาน เป็นเจ้าของและผู้ประกอบกิจการโรงกลั่นที่เชื่อมต่อกับทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล รองรับการรับเรือขนาด Very Large Crude Carreiers : VLCCs ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงระบบท่อส่งน้ำมันผลิตภัณฑ์หลักถึง 2 แห่ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานจากการจัดหาและขนส่งน้ำมันดิบผ่านการสั่งซื้อและขนส่งร่วมกัน ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง

นายสุวัฒน์ สินสาฎก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น ESSO เสร็จสิ้นลงแล้ว คาดว่าราคาหุ้นต่อจากนี้จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากหุ้นดังกล่าวมีอัพไซด์ที่มากกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปก่อนหน้านี้ โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 12 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” BCP โดยมีราคาเป้าหมายที่ 49 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิปกติไตรมาสที่ 3/2566  อยู่ที่ 3.07 พันล้านบาท  เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ได้รับแรงหนุนจากอัตราค่าการกลั่น (GRM) ที่สูงขึ้นมาก และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ของ ESSO เข้ามาในงบแล้ว จะทำให้บางจากได้รับกำไรก่อนหักภาษีอย่างน้อย 2.3 หมื่นล้านบาท สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/2566 ของ BCP คาดว่าจะอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยกำไรส่วนใหญ่นี้จะมาจากการประเมินราคาที่ดินจำนวน 329 ไร่ ของ ESSO สำหรับปั๊มน้ำมันของเอสโซ่ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มโรงกลั่น โดยเน้น ESSO ให้ราคาเป้าหมาย 12.20 บาท BCP ราคาเป้าหมาย 43.5 บาท TOP ราคาเป้าหมาย 55.5 บาท และ SPRC ที่ 10.2 บาท โดยมองว่างบในไตรมาสที่ 3/2566 ในกลุ่มดังกล่าว จะออกมาโดดเด่น เมื่อเทียบกับกลุ่มพลังงานกลุ่มอื่น ๆ เนื่องจากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงในไตรมาส 3/2566

Back to top button