SSP ทุ่ม 2.32 พันล้าน เทกฯ “ร่มเกล้าวินด์ฟาร์ม” กำลังผลิตรวม 45 เมกะวัตต์

นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 มีมติอนุมัติให้ บริษัท พลัส เอเนอร์จี้ จำกัด (PE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นคิดเป็น 99.99% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยเข้าลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท วินชัย จำกัด (วินชัย) ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ร่มเกล้าวินด์ฟาร์ม มีกำลังการผลิตรวม 45 เมกกะวัตต์

ทั้งนี้ PE เข้าซื้อหุ้นสามัญของวินชัยเพิ่มเติมจำนวน 7,425.000 หุ้น หรือคิดเป็น 75% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของวินชัยจาก บริษัท ท็อป เอมไพร์ จำกัด (Top Empire) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ บริษัท โนวา เอมไพร์ จำกัด (มหาชน) (NOVA) ถือหุ้นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ภายใต้กระบวนการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer หรือ EBT) (ธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมด ด้วยมูลค่าการลงทุนจำนวนไม่เกิน 2.32 พันล้านบาท) โดยค่าตอบแทนดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนตามเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อมูลค่าของหุ้นของวินชัย

โดยธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากการเข้าทำสัญญาโอนกิจการทั้งหมด และการเข้าทำธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์นั้นจะได้ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ NOVA และขึ้นอยู่กับความสำเร็จของเงื่อนไขบังคับก่อนภายใต้สัญญาโอนกิจการทั้งหมด

ทั้งนี้ ค่าตอบแทนธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดจะชำระด้วยเงินสดของบริษัทฯ หรือ เงินกู้ซึ่งเป็นวงเงินกู้เดิมที่ได้รับอนุมัติจากสถาบันการเงิน และภายหลังการเข้าทำธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดแล้ว PE จะถือหุ้นในวินชัยประมาณ 100% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของวินชัย (ซึ่งปัจจุบัน PE เป็นผู้ถือหุ้นในวินชัยคิดเป็นสัดส่วน 25% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของวินชัย)

สำหรับโครงการฯ ของวินชัยเป็นโครงการโรงฟฟ้าพลังงานลม มีกำลังการผลิตติดตั้งตามสัญญารวม 45 เมกะวัตต์ โดยตั้งอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีอายุสัญญา 5 ปี ต่ออายุได้ครั้งละ 5 ปี (Evergreen Contract) และได้รับการสนับสนุนค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) ที่ 3.50 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปีตั้งแต่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์

ในการนี้ บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของโครงการฯ ที่เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำแห่งเอเชีย โดยเป็นผู้ผลิตและจัดหาพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม โดยการเข้าลงทุนในโครงการพลังงานลมครั้งนี้ จะสามารถส่งเสริมให้บริษัทฯ เติบโตทั้งในด้านสินทรัพย์และผลประกอบการ อีกทั้งยังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาวเนื่องจากเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูง มีการดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว รวมถึงได้รับการสนับสนุนค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม และมีความเสี่ยงจากการดำเนินงานต่ำ จึงเป็นแหล่งที่มาของรายได้ให้กับบริษัทฯ ที่มั่นคงและต่อเนื่องในระยะยาว โดยบริษัทฯ สามารถรับรู้กำไรจากการลงทุนในโครงการฯ ได้ทันทีภายหลังจากการเข้าทำธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดแล้วเสร็จ

อนึ่งก่อนหน้านี้ SSP ได้เข้าลงทุน บริษัท วินชัย จำกัด มูลค่า 752 ล้านบาท ผ่านการเข้าไปซื้อหุ้นจำนวน 25% จาก Qian Xing Long Co., Ltd. ทั้งหมด เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2565

ผลประโยชน์ที่คาดว่าบริษัทฯ จะได้รับ

(1) เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำแห่งเอเชีย โดยเป็นผู้ผลิตและจัดหาพลังงานที่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม

(2) บริษัทฯ สามารถรับรู้สวนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในวินชัย ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นได้ทันที เนื่องจากเป็นโครงการฯ ที่มีการดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว ซึ่งจะทำให้ฐานกำไรของบริษัทฯ เติบโตขึ้น

(3) โครงการฯ นี้เป็นโครงการที่มีศักยภาพสูง มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องในระยะยาว

(4)  การลงทุนในโครงการฯ สามารถสร้างอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้เหมาะสมและเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของบริษัทฯ

(5) เป็นการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มสัดสวนผลการดำเนินงานที่มาจากการประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม

สำหรับผลประกอบการของ บริษัท วินชัย จำกัด ในช่วงที่ผ่านมามีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2562 อยู่ที่ 595.50 ล้านบาท ต่อมาในปี 2563 อยู่ที่ 775.61 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 อยู่ที่ 791.36 ล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 839.64 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 258.91 ล้านบาท ต่อมาในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 418.37 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 500.58 ล้านบาท และในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 492.28 ล้านบาท