โบรกเชียร์ซื้อ TTB เป้าสูง 1.98 บ. หลังกำไร Q3 โตเกินคาด ชี้ปีนี้ทะลุ 1.7 หมื่นล้าน
โบรกเชียร์ “ซื้อ” หุ้น TTB ให้ราคาเป้าสูงสุด 1.98 บาท หลังผลประกอบการไตรมาส 3/66 โต 27% แตะ 4.7 พันล้านบาท จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อย และตั้งสำรองฯลดลง ดังนั้นปรับประมาณการกำไรปี 66 ขึ้นราว 4% อยู่ที่ 17,876 ล้านบาท พร้อมคาดครึ่งปีหลังจ่ายปันผลอีก 0.05 บาท
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 กำไรสุทธิที่ 4,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,715 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2566 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิที่ 13,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 10,348 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่ง เป็นผลมาจากรายได้หลักและการจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากโครงสร้างงบดุลที่มีความเหมาะสมและคล่องตัว ส่งผลให้ TTB สามารถหมุนเวียนเงินทุนจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เพื่อรับประโยชน์ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มเติบโตขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ขยายตัวได้ดีโดยเพิ่มขึ้น 0.32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3.21%เทียบกับ 2.89% ในช่วงระยะเวลา 9 เดือนแรกของปีก่อน เป็นผลจากการปรับเปลี่ยนสัดส่วนของพอร์ตสินเชื่อ และการบริหารพอร์ตเงินลงทุน pre-funding รวมถึงเงินฝากล่วงหน้าที่ช่วยรักษาอัตรากำไรด้านดอกเบี้ย ส่งผลรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 52,630 ล้านบาท
นอกจากนี้ TTB ตั้งสำรองฯ และ Management Overlay จำนวน 12,874 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ 1.26% ลดลง 5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวของปีก่อน
โดยจากผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรกออกเติบโตแข็งแกร่งดีกว่าการคาดการณ์ ส่งผลให้ฝ่ายนักวิเคราะห์ต่างๆยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมประเมินผลการทำงานมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่น
บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ต่อ TTB หลังกำไรงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีเดิม ด้วยการดำเนินกลยุทธ์การทำงานร่วมกันของรายได้จะสามารถทำได้ตามเป้าทั้งปีที่ 3-5 พันล้านบาท ผ่านการดำเนินการภายใต้การใช้ดิจิทัลเป็นตัวนำ และมีการพัฒนาการขายผลิตภัณฑ์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งทำให้ช่วยลดต้นทุนอย่างเห็นเด่นชัด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เป็นอย่างดีและมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าของธนาคารออกมาอย่างต่อเนื่อง และสร้างรายได้ให้มากขึ้นในอนาคต
ส่วนในช่วงไตรมาส 4/2566 จนถึงปี 2567 ทาง TTB ยังคงไม่เน้นโตจากการเร่งปล่อยสินเชื่อ แต่ยังคงใช้กลยุทธ์เพิ่มสินเชื่อที่มีอัตราผลตอบแทนสูงผ่านลูกค้าเดิมที่ประวัติดีต่อไป ขณะที่คาดการณ์การตั้งสำรองมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 ที่ระดับ 1.28% ดังนั้นฝ่ายนักวิเคราะห์จึงปรับประมาณการกำไร TTB ปี 2566 ขึ้นราว 4% อยู่ที่ 17,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวของปีก่อน
ด้านผู้บริหาร TTB ประเมินการดำเนินงานโดยรวมในปี 2567 ว่าภาวะเศรษฐกิจอาจไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ก่อนหน้า จากนักท่องเที่ยวเข้ามาต่ำกว่าคาดการณ์ ภาคส่งออกยังไม่ฟื้นตัวได้ตามต้องการ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกรุมเร้าเศรษฐกิจไทย ทำให้ดำเนินการธุรกิจยากขึ้น จึงยังคงไม่เร่งโตสินเชื่อในปี 2567 แต่คงเน้น cross sell ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงกับลูกค้าเดิม ซึ่งมีคุณภาพเป็นหลัก โดยเชื่อว่า NIM สูงในปัจจุบัน จะคงอยู่ในระดับเต็มปี จนถึงปีหน้า ซึ่งยังช่วยเพิ่มรายได้ดอกเบี้ยให้เติบโตได้ดีในปีถัดไป ประกอบกับการคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโดยการออกผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางดิจิตัลเป็นหลัก จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และหนุนให้กำไรปี 2567 เติบโตโตจากปี 2566 ได้ต่อไป
ทั้งนี้ จากการไม่เร่งโตสินเชื่อในปีนี้และปีหน้า ส่งผลให้การมีเงินกองทุนระดับสูงๆ ปัจจุบัน BIS อยู่ที่ 19.9% ไม่จำเป็นมากนัก จึงประเมินว่าปีนี้ TTB จะจ่ายปันเป็นในอัตราหุ้นละ 0.1 บาท หรือราว 54% ของกำไรสุทธิ ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่ราว 50% ของกำไรสุทธิ คิดเป็น Dividend Yield ที่ 5.8% โดยในครึ่งปีแรก 2566 จ่ายไปแล้วที่ 0.05 บาท คาดการณ์ว่าในครึ่งหลังปี 2566 จะจ่ายอีก 0.05 บาท หรือคิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.9%
ขณะที่เดียวกันทางฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมองเป็นทิศทางบวกต่อการดำเนินกลยุทธ์ของ TTB ที่ประเมินว่าจะทำให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีบน ROE ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังมีอัตราเงินปันผลจูงใจ ปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 1.98 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันมี upside 15% จึงคำแนะนำ “ซื้อลงทุน”
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ สำหรับกำไรไตรมาส 3/2566 ของ TTB มากกว่าตลาดคาดแต่เป็นไปตามนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดย TTB ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน มากกว่าที่ตลาดคาด 7% แต่เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาด อีกทั้งกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็น 80% จากประมาณการทั้งปี แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ดีที่เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เพราะคาดว่ากำไรไตรมาส 4/2566 ลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะ OPEX ที่ เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล แต่จะยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ได้ต่อเนื่องจากการรุกสินเชื่อที่ผลตอบแทนสูงจากฐานกลุ่ม ลูกค้าเดิมของ TTB ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ มีคำแนะนำ “ซื้อ” มีการ rollover ราคาเป้าหมายไปปี 2567 ได้ที่ 1.95 บาท จากเดิมที่ 1.85 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่าจาก TTB มีกำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท เป็นไปตามคาด ซึ่งกำไรเพิ่มขึ้น 27.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และ 3.7% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ของ TTB ไว้ที่ 17.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.5% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน เป็ นการเติบโตที่โดดเด่นจากรายได้ ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าสินเชื่ออาจจะไม่ได้โต ในขณะที่สามารถรักษาต้นทุนดอกเบี้ยไว้ได้ดี เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาการลงทุนจึงปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 2567 ที่ 1.96 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นมาเป็น “ซื้อ”
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประมาณการณ์กำไรของ TTB ปี 2566 อยู่ที่ 17,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ได้ปัจจัยหนุนจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในปี 2566 กว้างขึ้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยมีผลตอบแทนสูง ขณะทีต้นทุนด้านเงินฝากสามารถคุมได้ดีแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยมีมูลค่าพื้นฐานที่ 1.90 บาท และประเมิน Dividend Yield ที่ 4%