MTC ขายหุ้นกู้ 3 พันล้าน เกลี้ยง! นักลงทุนเชื่อมั่นธุรกิจ “ทริส” ชูเรทติ้ง BBB+
MTC สุดปลื้ม! หุ้นกู้ 3 ชุดใหม่ขายเกลี้ยง มูลค่า 3,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับหุ้นกู้ระดับ BBB+ พร้อมกางแผนไตรมาส 4/66 เดินหน้าปล่อยสินเชื่อเพิ่ม มั่นใจพอร์ตปีนี้โต 20% มุ่งสู่ระดับ 2 แสนล้านบาทในปี 69
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ผู้นำธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของเมืองไทย เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ 3 ชุดใหม่ ในช่วงระหว่างวันที่ 19-20 ต.ค.66 และ 24 ต.ค.66 ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท
โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 10 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 9 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.75% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 8 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.90% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 20 ก.ย.66 ซึ่งอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Title Loan) ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่หลากหลายและเพียงพอของบริษัทฯ
“บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นและให้การตอบรับหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุดนี้เป็นอย่างดี หลังจากนี้จะนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ที่จะครบกำหนดในเดือนพฤศจิกายนนี้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการของบริษัทฯ ต่อไป โดยตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ภายใต้การบริหารและการดำเนินธุรกิจด้วยการยึดมั่นในหลักบรรษัทภิบาล” นายปริทัศน์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นเพิ่มสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อคุณภาพดี พร้อมกับการควบคุม NPL (หนี้เสีย) ให้ได้ในระดับที่ดี ควบคู่กับการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ สหประชาชาติ (SDGs) ที่บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับการประเมิน ESG MSCI Index ในปี 66 ที่ระดับ AA ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Customer Finance) โดยมีระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายระยะยาวจะมีพอร์ตสินเชื่อถึงระดับ 2 แสนล้านบาท ในปี 69 โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย.66 บริษัทฯ มีสินเชื่อคงค้างราว 1.33 แสนล้านบาท มีสาขาจำนวนทั้งสิ้น 7.26 พันสาขา เพิ่มขึ้น 592 สาขา จากสิ้นปี 65 ซึ่งสามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังคงได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ในการต่อยอดธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ เป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีต่อแนวคิดการบริหารธุรกิจโดยคำนึงความยั่งยืนของบริษัทฯ อีกด้วย