จับตา MCA เหนือจองวันแรก โบรกชูเป้าสูง 5.10 บ. มองกำไรปีนี้โตเท่าตัว

จับตา MCA เทรดวันแรกเหนือจอง “บล.ดาโอ” เคาะราคาเป้าหมายสูงสุด 5.10 บาท โดยประสบการณ์ในการให้บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจร-ขยายธุรกิจ Distributor ซึ่งจะมีโอกาสเกิด upside ใหม่ ทำให้คาดกำไรปกติในปี 66 แตะ 36 ล้านบาท โต 119% จากปีก่อน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (26 ต.ค.66) หลักทรัพย์ บริษัท มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ MCA เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ (Service) ในวันนี้ 26 ตุลาคม 2566

โดย MCA มีทุนชำระแล้วหลัง IPO อยู่ที่ 115 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 170 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 60 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ไม่น้อยกว่า 51.8 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ไม่เกิน 4.5 ล้านหุ้น กรรมการและผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 3.7 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 16-18 ต.ค.66 ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 198 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 759 ล้านบาท

ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 35.24 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (1 ก.ค.-30 มิ.ย.66) ซึ่งเท่ากับ 21.54 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท โดยมี บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

สำหรับ MCA เป็นผู้ให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดอย่างครบวงจร ผ่านรูปแบบของกิจกรรมการตลาดภาคสนาม (Field Marketing) เป็นหลัก เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจแก่ลูกค้า ตั้งแต่ การเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ การสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้อุปโภคบริโภค ไปจนถึงการผลักดันยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในครึ่งแรกปี 66 บริษัทฯ มีรายได้จาก 4 บริการหลักคือ 1.บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล ด้านรายได้คิดเป็น 39% ส่วน 2.บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า ด้านรายได้คิดเป็น 4%

รวมไปถึง 3.บริการพนักงานแนะนำสินค้า ด้านรายได้คิดเป็น 22% และ 4.บริการจัดเรียงสินค้า ด้านรายได้คิดเป็น 35% โดยลูกค้าหลักอยู่ในอุตสาหกรรมกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีทั้งบริษัทข้ามชาติ และบริษัทคนไทย

นอกจากนี้ บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจใหม่ ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) โดยมีโครงการนำร่อง 1 โครงการ ให้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ในไตรมาส 3/66

ด้าน นายภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MCA เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด มีประสบการณ์ในการให้บริการแก่ลูกค้าชั้นนำจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งแบรนด์สินค้าในประเทศและต่างประเทศ มากกว่า 20 ปี และมีฐานข้อมูลพนักงานผู้ให้บริการภายนอก (Outsource) มากกว่า 9.1 พันคน เพื่อรองรับการให้บริการได้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีการพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน (ระบบ MJobs) มารองรับการให้บริการ ด้านเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ลงทุนในสินทรัพย์สำหรับธุรกิจ Distributor รวมถึงใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ

สำหรับ MCA มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลังเข้าจดทะเบียน คือ กลุ่มนายภักดี เหล่างาม ถือหุ้น 68.91% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล จากกำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ และทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 5.10 บาทต่อหุ้น โดยประสบการณ์ในการให้บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจร และมีการขยายธุรกิจ Distributor ซึ่งจะมีโอกาสเกิด upside ใหม่ ทำให้คาดการณ์กำไรปกติในปี 2566 ที่ 36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% จากปีก่อน

ขณะที่รายได้รวมปี 2566 ที่ 499 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน โดยมีแบ็กล็อกเป็น secured revenue หรือ รายได้ในมือที่รองรับแล้ว 96% และกำไรปกติ ปี 2567 ที่ 59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากปีก่อน ขณะที่รายได้ปี 2567 ประเมินที่ 650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% อิงสมมติฐานเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว ส่วน GPM ในปี 2566-2567 ประเมินไว้ที่ 22% สะท้อนโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับปี 2565

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 5 บาทต่อหุ้น MCA ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด พร้อมการให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดแบบครบวงจร โดยมีบริการหลัก 4 ประเภท 1) บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล 2) บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า 3) บริการพนักงานแนะนำสินค้า 4) บริการจัดเรียงสินค้า และขยายสู่ธุรกิจใหม่ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า ( Distributor) ซึ่งจะสนับสนุนให้สร้างผลกำไรโดยรวมปรับดีขึ้น

พร้อมประเมินรายได้จากการบริการ ในปี 2566-2567 ราว 489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อน และ 625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) เท่ากับ 19% ต่อปี จึงใช้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในปี 2566 ที่ระดับ 22.5% เท่ากับงวด 6 เดือนแรกปี 2566 และปรับดีขึ้นเป็น 23% ในปี 2567 ส่งผลให้ประเมินกำไรสุทธิในปี 2566 ที่ 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากปีก่อน และในปี 2567 อยู่ที่ 56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% จากปีก่อน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยในปี 2566-2567 (CAGR) เท่ากับ 50% ต่อปี

Back to top button