DELTA รายได้ขายพุ่ง ดันกำไร Q3 โต 32% เฉียด 5.5 พันล้าน
DELTA รายงานกำไรไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 5.4 พันล้าน โต 32% จากปีก่อน ส่วนงวด 9 เดือนแรกกำไร 1.37 หมื่นล้านบาท โต 23% จากปีก่อน รับรายได้ขายเพิ่มขึ้น
บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดยในไตรมาส 3 บริษัทมียอดขายสินค้าและบริการอยู่ที่ 40,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์รักษาระดับการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนโดยกลุ่มโซลูชั่นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions) ที่เติบโตสูงกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า
รวมถึงผลิตภัณฑ์ดีซี เพาเวอร์ (DC Power) และเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรม (Industrial Automation) ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่าย รวมถึงศูนย์ข้อมูล Data Center มียอดขายทรงตัวจากไตรมาสก่อน และเติบโตในระดับปานกลางจากฐานสูงของปีที่แล้ว โดยมีการขยายตัวตามแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Application)
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการค้าและการลงทุน รวมถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลงในภูมิภาคต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อยอดขายที่ชะลอตัวลงสำหรับสินค้าบางกลุ่ม เช่น กลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน (Fan & Thermal Management) กลุ่มผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ปรับตัวลดลง จากไตรมาสที่แล้วและปีก่อน เนื่องจากดีมานด์อ่อนตัวในตลาดยุโรป ทำให้ลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังและปรับแผนงานสำหรับโครงการต่าง ๆ พร้อมมุ่งเน้นการบริหารสินค้าคงคลัง ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่มีความท้าทาย
ด้านกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้มีจำนวน 9,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของยอดขายพร้อมการบริหารต้นทุนการผลิตของกลุ่มโซลูชั่นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นภายใต้กลุ่มธุรกิจพาวเวอร์อิเล็คทรอนิกส์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ทั้งนี้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นอ่อนตัวเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าและปีที่แล้ว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ดีสถานการณ์ขาดแคลนวัตถุดิบคาดว่าจะทยอยคลี่คลายลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนและวัตถุดิบเพื่อปรับปรุงอัตรากำไรให้ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 4,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 จากปีก่อนหน้า สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้และกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนาที่มากขึ้น ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.0 ของรายได้รวม ลดลงจากสัดส่วนร้อยละ 11.1 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยเป็นผลมาจากประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่ายพร้อมผลักดันยอดขายให้เติบโต กำไรจากการดา เนินงานในไตรมาสนี้มีจำนวน 5,047 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 12.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12 ของงวดเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูง
ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาสนี้สร้างสถิติสูงกว่า 5,429 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 13.4 และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.44 บาท เติบโตถึงร้อยละ 33.7 เมื่อเทียบกับ 0.33 บาทต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน