DSI ล้างบาง “นายทุน” หมูเถื่อน CPF-BTG ลุ้นเด้ง รับ Q4 ฟื้นโดดเด่น

อธิบดี DSI ไล่บี้กวาดล้างนายทุนลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน เตรียมขยายผลเพิ่มอีกหลายบริษัท หลังชิปปิ้งซัดทอด เดินหน้าตัดวงจรลักลอบให้สิ้นซาก ด้านหุ้น CPF-BTG-TFG ลุ้นเด้งรับ คาดไตรมาส 4/66 ฟื้นตัวของราคาขายเฉลี่ยหมูในประเทศ และการบริโภคในประเทศดีขึ้น จากช่วงไฮซีซั่นภาคการท่องเที่ยว


พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า จากกรณีที่มีขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบ คดีพิเศษที่ 59/2566 โดยเบื้องต้นพบว่า มีผู้เกี่ยวข้องแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มชิปปิ้ง บริษัทที่นำเข้า 2) นายทุน หรือบริษัทที่สั่งให้ชิปปิ้งนำเข้ามา และ 3) กลุ่มห้องเย็นที่รับซื้อหมูจากนายทุน หรือบริษัทที่สั่งให้ชิปปิ้งนำเข้ามา และนำไปกระจายตามห้องเย็นตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อระบายไปสู่ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ต่อไป

เบื้องต้น DSI ได้ดำเนินคดีกลุ่มแรกจำนวน 5 บริษัท และกรรมการบริษัทชิปปิ้งเอกชน 6 ราย โดยมีการออกหมายจับ และแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาครบหมดแล้ว จึงพบเส้นทางการเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องว่า บริษัทแห่งนี้รับหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินให้กับบริษัทชิปปิ้งเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อสั่งซื้อเนื้อสุกรแช่แข็งก่อนนำเข้าประเทศไทยผ่านพิธีการศุลกากร โดยการสำแดงเท็จเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง (Frozen Food) รวมถึงได้มีการขยายผลและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม พบว่ามีกลุ่มที่เกี่ยวข้องในกลุ่มที่ 2 เบื้องต้นเป็นกลุ่มนายทุนจำนวน 2 บริษัท ซึ่งได้มีการนำหมายค้นเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 2 จุด คือ บริษัทแห่งหนึ่ง แบ่งเป็น อาคารเลขที่ 34/20 และ อาคารเลขที่ 34/24 ซ.ประชาอุทิศ 13 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและพยานวัตถุเพิ่มเติม ก่อนนำเข้าประกอบสำนวนคดีพิเศษที่ 59/2566

โดยจากการขยายผลตรวจค้นทั้ง 2 บริษัท พบว่ามีรายการสั่งนำเข้าจำนวนมาก และมีการกระจายไปยังลูกค้าที่เป็นห้องเย็นหลายบริษัท ขณะนี้ได้มีการรวบรวมเอกสารใบสั่งซื้อ-ขาย เอกสารเกี่ยวกับเรื่องการเงิน เอกสารรายรับ-จ่ายของบริษัท  บัญชีลูกค้า ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่งให้ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์ โดยเชื่อมั่นว่าหลักฐานที่ได้เพิ่มเติมจะนำไปสู่การขยายผลกลุ่มที่ 2 ได้เพิ่มเติม รวมถึงในกลุ่มที่ 3 ที่เป็นบริษัทห้องเย็นต่าง ๆ ที่รับสินค้าไปจำหน่าย ซึ่งในการขยายผลตรวจค้นจากกลุ่มแรกที่เป็นกลุ่มชิปปิ้ง บริษัทที่นำเข้า ที่ได้ให้การรับสารภาพและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวนเช่น ลักลอบวิธีการนำเข้ามา เป็นต้น

ทั้งนี้ DSI ได้ทำการสืบสวนสอบสวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (เนื้อสุกรแช่แข็ง) ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2564-ปัจจุบัน พบว่ามี 10 บริษัทแอบลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน รวมแล้วกว่า 2,385 ตู้ ต้นทางส่วนใหญ่มาจากบราซิล เยอรมนี แต่ในการลักลอบนำเข้าจะสำแดงเป็นโพลีเมอร์ และปลาแช่แข็งเพื่อหลบเลี่ยง โดยดีเอสไอจะเร่งขยายผลการจับกุมเพื่อทำลายวงจรลักลอบให้หมดไปในอนาคต

ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหมูปรับตัวเพิ่มขึ้นยกแผง หลังจากแนวโน้มราคาหมูมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังภาครัฐสนับสนุนการปราบปรามหมูเถื่อนอย่างจริงจัง ลดแรงกดดันต่อราคาหมูภายในประเทศ นำโดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ปิดตลาดที่ราคา 18.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.65% มูลค่าการซื้อขาย 171.82 ล้านบาท ตามมาด้วย บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG ปิดตลาดที่ราคา 20.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.98% มูลค่าการซื้อขาย 37 ล้านบาท และบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ปิดตลาดที่ราคา 3.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7.34 ล้านบาท

ทั้งนี้คาดไตรมาส 4/2566 จะเห็นการฟื้นตัวของราคาขายเฉลี่ยหมูในประเทศ และการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น จากช่วงไฮซีซั่นของภาคการท่องเที่ยว น่าจะทำให้ผลประกอบการหุ้นกลุ่มหมูดีขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ปรับราคาเป้าหมายหุ้น BTG ลงเหลือ 25 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิ่มความระมัดระวังต่อสถานการณ์การระบายหมูเถื่อนที่ยังคาดเดาได้ยาก และภาวะตลาดที่ค่อนข้างผันผวน โดยราคาเป้าหมายใหม่ดังกล่าวมีอัพไซด์ที่ 15.2% แต่ระยะสั้นจะถูกกดดันจากงบที่อ่อนแอ จึงยังคงคำแนะนำ “TRADING” และรอดูสถานการณ์อีกครั้งหลังงบออก

ทั้งนี้ช่วงไตรมาส 3/2566 ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะมีผลขาดทุนปกติ 768 ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้นจากผลขาดทุน 282 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 และพลิกจากที่มีกำไรปกติ 2,324 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2564 โดยมีปัจจัยหลักจากราคาขายหมูในประเทศเฉลี่ยไตรมาส 3/2566 ที่ปรับลงเป็น 65 บาทต่อกิโลกรัม (ลดลง 15.8% จากไตรมาสก่อน) ยังถูกกดดันจากผลของหมูเถื่อนที่ค้างอยู่ในประเทศที่ถูกระบายขายสู่ตลาด แม้จะเริ่มรับรู้ผลของราคาต้นทุนวัตถุดิบการเลี้ยงที่ปรับลดลงได้ก็ตาม เพราะยังไม่สามารถชดเชยราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงมากกว่าได้ทัน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจะยังอยู่ในระดับต่ำ 8%

บริษัทยังได้ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายมากขึ้น เพื่อช่วยชดเชยผลกระทบจากอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอ ดังนั้น จึงคาดค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) จะปรับลดลงเป็น 10.9% จาก 11.6% ในไตรมาส 2/2566 อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการไตรมาส 3/2566 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว และคาดจะฟื้นขึ้นได้จากไตรมาสก่อนในไตรมาส 4/2566

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2566 จะยังคงมีผลขาดทุน แต่จะเห็นการฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนได้ เนื่องจากคาดหวังการฟื้นตัวของราคาขายเฉลี่ยหมูในประเทศ, การบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น จากช่วง High Season ของภาคการท่องเที่ยว และบริษัทจะรับรู้ผลของราคาต้นทุนที่ปรับลดลงได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นให้พื้นตัว โดยฝ่ายวิเคราะห์ได้ประเมินผลขาดทุนปกติในไตรมาส 4/2566 เบื้องต้นไว้ที่ 600-400 ล้านบาท แต่ยังมีความเสี่ยงหากราคาหมูในประเทศยังไม่สามารถพื้นตัวได้จากปัจจุบันที่ 54 บาทต่อกิโลกรัม จากผลกระทบของเทศกาลกินเจ

นอกจากนี้ปรับประมาณกำไรปกติปี 2566 ลงอีกครั้ง และคาดหวังการฟื้นตัวในปี 2567 อย่างไรก็ตาม การปรับประมาณการกำไรปกติปี 2566 ลง เพื่อสะท้อนผลประกอบการในไตรมาส 3/2566 ที่อ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า และการพื้นตัวของผลประกอบการยังถูกชะลอออกไป โดยคาดผลประกอบการปี 2566 จะขาดทุน 1,083 ล้านบาท (จากเดิมที่คาดขาดทุนที่ 148 ล้านบาท) แต่ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ไว้ตามเดิมที่ 3,414 ล้านบาท เนื่องจากราคาหมูในปัจจุบันที่ปรับตัวลงมาจากผลกระทบของหมูเถื่อน ซึ่งไม่ได้มาจากกลไกของตลาด ทำให้ในระยะยาวประเมินราคาหมูควรฟื้นตัวขึ้นในระดับใกล้เคียงกับต้นทุนการเลี้ยงของตลาด

Back to top button