“กรุงศรี” คัด 3 หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ COM7 อัพไซด์เฉียด 40%

คัด 3 หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ MEGA-COM7-PLANB แนวโน้มไตรมาส 3 โตเด่น ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4 ฟาก COM7 เป้าสูง 37.95 บาท ดันอัพไซด์เฉียด 40%


บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ (30 ต.ค.66) แนะนำหุ้นที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA, บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB และ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7

สำหรับ MEGA คาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง 0.4ppt เหลือ 45.3% ในไตรมาส 3/66 เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเทียบกับปีก่อน (เป็น 35.12 บาท/USD จาก 36.41 บาท/บSD ในไตรมาส 3/66) ทั้งนี้ เนื่องจากประมาณ 80% ของรายได้ MEGA อยู่ในสกุล USD ดังนั้น แนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับ USD จึงอาจจะส่งผลกับกำไรของ MEGA ได้ ซึ่งจากแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทในปัจจุบัน ทำให้เชื่อว่า MEGA เป็นหนึ่งในบริษัทที่จะได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาท โดยประเมินว่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทุกๆ 1% จะทำให้กำไรจากธุรกิจหลักของ MEGA เพิ่มขึ้น 0.9%

พร้อมกันนี้ คาดการณ์ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 6.4% ในปี 67 โดยคาดว่าธุรกิจสินค้าแบรนด์จะโต 7% และธุรกิจการจัดจำหน่ายจะโต 6% และคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายในปี 67 จะเร่งตัวขึ้นจาก 2.9% ในปี 66 เนื่องจาก 1) ยอดขายวิตามินน่าจะฟื้นตัวขึ้น จากที่ลดลงหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงไปในปี 66 และ 3) สถานการณ์ในเมียนมา (ซึ่งเป็นตลาดหลักของธุรกิจการจัดจำหน่าย) น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และทำให้ธุรกิจการจัดจำหน่ายเติบโตได้

อย่างไรก็ตาม แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 54 บาท โดยมองว่า MEGA เป็นบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของเวชภัณฑ์ โดบได้แรงสนับสนุนจาก brand franchise ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม บริษัทดำเนินกิจการในตลาดเกิดใหม่หลายตลาด เช่น เมียนมา ซึ่งภาวะเศรษฐกิจสังคมยังมีความผันผวนสูง

ด้าน PLANB คาดการณ์ว่ากำไรจะโตทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า โดยจากการที่ได้คุยกับผู้บริหารบริษัทเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/66 และเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ คือ ผลประกอบการของ PLANB ในไตรมาส 3/66 น่าจะออกมาน่าประทับใจ โดยจะโตแรงทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน ซึ่งข้อมูลล่าสุดที่ได้รับจากผู้บริหารของบริษัทชี้ว่าผลประกอบการอาจจะดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

พร้อมคาดว่ากำไรในไตรมาส 3/66 จะอยู่ที่ 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน, โต 8% จากไตรมาสก่อนหน้า) จากทั้งธุรกิจ OOH และ sports marketing (เอเชียนเกมส์ และ ชกมวย) โดยอิงจากสมมติฐานดังต่อไปนี้ 1.รายได้ในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน และ 5% จากไตรมาสก่อน เป็น 2.11 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จาก engagement marketing เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการแข่งขันเอเชียนเกมส์ และกีฬาชกมวย

ขณะที่รายได้จากสื่อ OOH จะเพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน และ 1% จากไตรมาสก่อน โดย UR อยู่ที่ 72.5% (จาก 61% ในไตรมาส 3/65 และ 72% ในปี 66)

ทั้งนี้ บริษัทมองว่ายอดโฆษณาในเดือนก.ย.มาจากกลุ่มยานยนต์ และมือถือ 2.อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% จาก 26% ในไตรมาส 3/65 และ 29.8% ในไตรมาส 2/66 จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากสื่อ OOH และ 3.สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร/รายได้จะทรงตัวอยู่ที่ 13% (เท่ากับในไตรมาส 2/66)

ทั้งนี้ ถ้าผลประกอบการไตรมาส 3/66 เป็นไปตามประมาณการ กำไรในงวด 9 เดือนจะอยู่ที่ 600 ล้านบาท คิดเป็น 68% ของประมาณการกำไรเต็มปี

โดยยังคงประมาณการกำไรปีนี้เอาไว้ที่ 876 ล้านบาท (โต 25% จากปีก่อน) เพราะคาดว่าโมเมนตัมกำไรจะแข็งแกร่งต่อเนื่องในไตรมาส 4/66 จากผลของปัจจัยฤดูกาล ซึ่งข้อมูลล่าสุดจากทางบริษัทช่วยยืนยันแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/66 โดย UR ในเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 76-77% จากที่เฉลี่ยเพียง 70% ในเดือน ก.ค.-ส.ค. ซึ่งน่าจะดีต่อเนื่องไปจนถึงเดือน ต.ค.และพ.ย.

พร้อมแนะนำชื้อราคาเป้าหมาย (กลางปี 67) ที่ 10.20 บาท โดยมองว่าราคาหุ้นที่ย่อลงมาเป็นพราะถูกนักลงทุนต่างชาติเทขาย ซึ่งเป็นโอกาสดีให้กลับเข้าไปซื้อ เพราะมองว่า PLANB ยังคงเข้าข่ายเป็นหุ้นเติบโต โดยคาดการณ์ว่า EPS จะโต 25% ในปี 66 และจะเร่งตัวขึ้นเป็น 33.5% ในปี 67 จาก UR ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ COM7 คาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 3/66 จะเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน และ 16% จากไตรมาสก่อน เป็น 820 ล้านบาท ซึ่งจะถูกขับเคลื่อนโดยรายได้จากยอดขายมือถือ (54% ของรายได้รวม) โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จะมาจาก 1.การขยายสาขามาที่กว่า 1,300 สาขา และ 2.มีสินค้าพร้อมขาย จากที่ประสบปัญหาขาดแคลนสินค้าในช่วงไตรมาส 3 และ 4/65

ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จะมาจาก 1.การวางจำหน่ายโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่หลายค่าย ทั้ง Oppo, Honor, Samsung Z Flip 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone 15 และ 2.การกลับมาเปิดร้าน Studio7 ร่วม 40 แห่งที่ปรับปรุงใหม่และปรับเป็น Apple  Premium partner ในไตรมาส 2/66 อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงมาอยู่ที่ 14% จาก 14.5% ในไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายสินค้าที่ margin ต่ำมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น (อย่างเช่น iPhone)

ทั้งนี้ เมื่ออิงตามประมาณการไตรมาส 3/66 กำไรสุทธิในงวด 9 เดือน จะคิดเป็น 70% ของ Bloomberg consensus ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่ากำไรจะโตต่อเนื่องทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อนในไตรมาส 4/66 และกำไรปี 66 น่าจะได้ตามประมาณการที่ 3.4 พันล้านบาทได้ โดยตามปกติแล้ว ไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงพีกตามฤดูกาล และคาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะดีเป็นพิเศษ เพราะได้ปัจจัยกระตุ้นจากการออกวางจำหน่าย iPhone 15 ตั้งแต่เดือน ก.ย. ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าและมีสินค้ารองรับเพียงพอ

นอกจากนี้ COM7 ยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะมาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต โดยล่าสุดได้เข้าสู่ตลาด EV ด้วยการเข้าไปถือหุ้น 40% ใน Gold Integrate Holding เพื่อเป็นผู้จัดจำหน่าย GAC AION ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของแบรนด์ EV ในจีน ซึ่งมองว่านี่เป็นก้าวแรกในการเรียนรู้ know-how เกี่ยวกับการจัดจำหน่ายรถ EV ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมของบริษัทเพื่อรองรับรถยนต์แบรนด์อื่น ๆ อีก อย่างเช่น Huawei, Apple และ Xiaomi ที่อาจจะมีโอกาสเข้ามาในประทศไทยในอนาคต โดยมองว่าหากธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จจะทำให้ประมาณการกำไรของบริษัทมีอัพไซด์เพิ่มอีกในอนาคต

ขณะที่ราคาหุ้น COM7 ลดลงเนื่องจากตลาดมีความกังลต่อยอดขายอาจจะโตต่ำกว่าเป้าของบริษัท แต่เมื่ออิงตามประมาณการไตรมาส 3/66 และแนวโน้มผลประกอบการที่น่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 4/66 และผู้บริหารยังคงมองค่อนข้างบวกกับการเติบโตในครึ่งหลังของปีนี้ และคงเป้ารายได้เติบโต 20% ในปี 66 ทั้งนี้ ราคาหุ้น COM7 ในปัจจุบันคิดเป็น 20 เท่า P/E ปี 67 ซึ่งถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต (P/E ที่ 25 เท่า) และอัตราการเติบโตของกำไร (15% จากปีก่อน) โดยคอนเซนซัสแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 37.95 บาท ยังมีอัพไซด์จากราคาหุ้นในปัจจุบันอีก 36%

Back to top button