แนวโน้ม SET ไซด์เวย์ จับตาประชุมเฟด-แบงก์ชาติญี่ปุ่น
แนวโน้ม SET ไซด์เวย์ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน นักลงทุนจับตาการประชุมเฟด แบงก์ชาติญี่ปุ่น-อังกฤษ และตัวเลขการจ้างงานสหรัฐ ส่วนปัจจัยในประเทศนโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท มีแนวโน้มล่าช้าถึงก.ย. 67 และรอประกาศกำไรไตรมาส 3/66 ของบจ. พร้อมให้แนวต้าน 1,405-1,410 จุด แนวรับ 1,385-1,390 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (31 ต.ค. 66) คาดการณ์ว่าแกว่งไซด์เวย์ โดยที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาส่งผลกับตลาด หลังจากสถานการณ์ในอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสยังไม่มีประเด็นคืบหน้าใหม่ๆออกมา และตลาดยังรอติดตามปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ
ขณะที่ในวันนี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับดอกเบี้ยอย่างไร ประกอบกับยังมีการรายงานตัวเลขดัชนี PMI ฝ่ายจัดซื้อของจีนออกมา โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ที่เปิดมาแกว่งตัวบวกและลบสลับกัน พร้อมให้แนวต้าน 1,405-1,410 จุด แนวรับ 1,385-1,390 จุด
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวไซด์เวย์อัพ (Sideways to Sideways Up) ต่อเนื่องในระยะสั้นทดสอบระดับ 1,400 จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามยังคงมุมมอง Upside ของดัชนีระยะสั้นจะยังไม่กว้าง
ทั้งนี้ ตลาดยังรอติดตามปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ทั้งการประชุมเฟด และธนาคารกาลญี่ปุ่น (BOJ) ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่าง GDP ไตรมาส 3/66 ของยูโรโซน รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในช่วงปลายสัปดาห์
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) 10 ปี ขยับขึ้นมาที่ 4.9% หลัง US Treasury Department ประกาศว่า จะออกพันธบัตร 776 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ 816 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 4/66 – ไตรมาส 1/67 แม้จะลดลงจากไตรมาส 3/66 แต่ยังถือเป็นระดับที่สูง
สำหรับปัจจัยในประเทศ นโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทมีแนวโน้มล่าช้าไปถึงเดือนก.ย. 67 และใช้เงินน้อยกว่า 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ประมาณการ GDP ปี 67 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 4.4% มีแนวโน้มต้องปรับลง ขณะที่โฟกัสระยะสั้นยังอยู่ที่ประกาศกำไรไตรมาส 3/66 ของบริษัทจดทะเบียน โดยต้องติดตามว่าจะออกมาดีหรือแย่กว่าที่คาดการณ์อย่างไร และกระทบต่อประมาณ EPS ปี 66-67 ของตลาดมากน้อยเพียงใด ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลง
อย่างไรก็ตาม ด้านการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ของ SET ในปัจจุบัน ยังคงมีมุมมองไม่สูงมาก โดยอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,400 จุด และเริ่มมี Downside จำกัด โดยหาก PER ถูกปรับลงสู่กรอบ PER 13.2-13.6 เท่าจะเทียบเท่า Index ราว 1,320-1,360 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว