SAFE เทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเป้า 21 บ. โบรกชี้กำไรปี 66 โต 29%
SAFE ลงสนามเทรดตลาด SET วันแรก ลุ้นราคาวิ่งเหนือจองไอพีโอ ฟากโบรกประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 23-25 บาทต่อหุ้น คาดกำไรปี 66 แตะ 209 ล้านบาท โต 29% รับแรงหนุนจากการใช้บริการรักษามีบุตรยากมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (2 พ.ย.66) หลักทรัพย์ บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มบริการและการแพทย์
สำหรับ SAFE มีทุนชำระแล้ว 303,947,800 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวม 76,748,600 หุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุน 23,947,800 หุ้น หุ้นสามัญเดิมของ Piccadilly Peak Limited 52,800,800 หุ้น โดยเสนอขายให้แก่ นักลงทุนสถาบัน 40.00 ล้านหุ้น บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 23.16 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย 11.50 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลที่มีความสัมพันธ์ และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย 2.09 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 25 – 27 ตุลาคม 2566 ราคาหุ้นละ 21.00 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 502.90 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,382.90 ล้านบาท โดยมี บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
โดย SAFE ดำเนินธุรกิจศูนย์การแพทย์เพื่อรักษาผู้มีบุตรยากครบวงจรด้วยวิธี Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI) การแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ อสุจิ และตัวอ่อน การให้บริการตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและทารกในครรภ์ รวมถึงห้องปฏิบัติการด้านพันธุศาสตร์ ด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 22 ปี นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเพาะเลี้ยงตัวอ่อน ประกอบกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยได้มาตรฐานระดับสากล ทำให้มีอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์เฉลี่ยสูงถึง 40-75% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานคลินิกเด็กหลอดแก้วแห่งแรกของประเทศไทยจากสถาบัน Reproductive Technology Accreditation Committee (RTAC) ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีทั้งหมด 5 สาขาครอบคลุมพื้นที่ใน กทม. และจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในประเทศ
นายแพทย์วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAFE เปิดเผยว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนให้บริษัทเติบโตตามกลยุทธ์ที่วางไว้ทั้งในเชิงธุรกิจและการขับเคลื่อนสังคม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านรักษาผู้มีบุตรยาก การวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและทารกในครรภ์ และ Wellness ในภูมิภาคเอเชีย สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพ และขยายสาขาและให้บริการด้านห้องปฏิบัติการเพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มบริษัท รวมถึงจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) กลุ่มกว้างคณานุรักษ์ ถือหุ้น 60.92% 2) นอร์ท ฮาเว่น ไทย ไพรเวท อิควิตี้ แซทเทิร์น คอมแพนี (ฮ่องกง) ลิมิเต็ด (บริษัทที่จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของฮ่องกง ซึ่งมี General Partner คือ Morgan Stanley) ถือหุ้น 12.50% และ 3) นางสาวชนิดา พัธโนทัย ถือหุ้น 0.55% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองตามกฎหมาย
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของ SAFE ในปี 2566 อยู่ที่ 197 ล้านบาท ถัดมาในปี 2567 อยู่ที่ 277 ล้านบาท และในปี 2568 อยู่ที่ 315 ล้านบาท จากสมมติฐานรายได้ปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ย 19% ต่อปีเป็น 904 ล้านบาท, 1.1 พันล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท ตามลำดับ สนับสนุนจากอุปสงค์ของลูกค้าไทยและต่างชาติ เพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่ามีอุปสงค์คงค้างจำนวนมากจากลูกค้าจีน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าเหมาะสม 7.2 พันล้านบาท หรือให้ราคาเป้าหมาย 23.70 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิของ SAFE ไว้ที่ระดับ 209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2566 ซึ่งเป็นภาพผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลบวกต่อความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวสู่ระดับปกติมากขึ้น รวมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 จะยังมีทิศทางเชิงบวกต่อจากปี 2566 มีผู้แรงหนุนจากการใช้บริการการรักษามีบุตรยากที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นจากจำนวนรอบการเก็บไข่ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,140 รอบในปี 2565 โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,300 และ 1,508 รอบในปี 2566-2567 ด้วยอัตราความสำเร็จที่สูงกว่า 70% ของ SAFE โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ SAFE สำหรับปี 2567 ไว้ที่ 23.80 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เราคาดรายได้รวมปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ย 26.5% ต่อปี จากแนวโน้มอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไทยที่เป็นจุดหมายสําคัญ สําหรับผุ้มีบุตรยากทั่วโลก ขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงแผนขยายเครือข่ายให้บริการผ่านโรงพยาบาลพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศและการเข้าซื้อกิจการศูนย์การแพทย์มีบุตรยากอื่น
โดยประเมินมูลค่าหุ้น SAFE ด้วยวิธีเปรียบเทียบ PE กับค่าเฉลี่ย PE อยู่ที่ 27 เท่า ของหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลและคู่แข่ง โดย SAFE จะเข้าซื้อขายใน SET หมวด Healthcare ซึ่งคลินิกมีบุตรยากถือเป็นหน่วยบริการหนึ่งของโรงพยาบาลได้ราคาเหมาะสม 25 บาท ภายใต้ประมาณการกําไรต่อหุ้นปี 2567 ที่ 0.92 บาท