SAFE พื้นฐานดี! โบรกชี้กำไร 3 ปี โตเฉลี่ย 27% เคาะเป้าสูง 25 บ.
4 โบรกประเมินหุ้นไอพีโอน้องใหม่ SAFE พื้นฐานดี มองกำไร 3 ปี โตเฉลี่ย 27% ขานรับไทยเป็นจุดหมายสําคัญสําหรับผู้มีบุตรยากทั่วโลก หนุนการขยายฐานลูกค้าใน-นอกประเทศ ด้าน บล.ฟินันเซียฯ ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 25 บาท
นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจที่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย ด้วยศักยภาพของธุรกิจที่อยู่ในเมกะเทรนด์ทางการแพทย์
โดย SAFE เป็นผู้ให้บริการคลินิกการแพทย์เฉพาะทางเพื่อการมีบุตร ด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์แบบครบวงจรในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านการเจริญพันธุ์ในระดับสากล และได้รับการรับรองมาตรฐานคลินิกเด็กหลอดแก้วจากสถาบัน RTAC จากประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นแห่งแรกของประเทศไทยให้บริการตั้งแต่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจนให้การรักษาแก่ผู้มีบุตรยากและการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนแบบพิเศษ การแช่แข็งไข่ ฝากไข่ อสุจิ และตัวอ่อน เพื่อเติมเต็มความฝันของการมีบุตร
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ โดยให้บริการแก่ผู้มีบุตรยากมากว่า 15 ปี มีสถิติในการเก็บไข่ตั้งแต่ปี 2561 ถึงไตรมาส 2/2566 กว่า 7,236 รอบ (OPU Cycle) ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีนักวิทยาศาสตร์ของการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากยุโรป (ESHRE) เป็นแห่งแรกของไทย จึงมีอัตราความสำเร็จการตั้งครรภ์โดยเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 75
ขณะที่ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ SAFE ที่ 25 บาทต่อหุ้น อ้างอิงด้วยวิธีเปรียบเทียบ PE กับค่าเฉลี่ย PE 27 เท่า ของหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลและคู่แข่ง โดยประมาณการกําไรต่อหุ้นปี 2567 ที่ 0.92 บาท และยังได้คาดการณ์รายได้รวมในปี 2566-2568 จะเติบโตเฉลี่ย 26.5% ต่อปี จากแนวโน้มอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไทยที่เป็นจุดหมายสําคัญสําหรับผู้มีบุตรยากทั่วโลก ซึ่งจะเป็นสนับสนุนการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงแผนขยายเครือข่ายให้บริการผ่านโรงพยาบาลพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศและการเข้าซื้อกิจการศูนย์การแพทย์มีบุตรยากอื่นๆ
ด้านบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ของ SAFE อยู่ที่ 7,134 – 7,309 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาเป้าหมาย 23.47-24.05 บาทต่อหุ้น ผ่านการประเมินมูลค่ากิจการด้วยวิธีอิงเป้าหมาย PEG และการคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ได้แก่ 1. ประมาณการการเติบโตของ EPS เฉลี่ย 21.4% ต่อปี CAGR และอิงเป้าหมาย PEG ที่ 1.2 เท่า ซึ่งเกิดจากการให้ Premium 20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มผู้เล่นเกี่ยวเนื่องกับศูนย์การแพทย์ผู้มีบุตรยากที่ 1 เท่า เพราะมองว่า บริษัทเป็นผู้นำในศูนย์การแพทย์เพื่อรักษาผู้มีบุตรยากที่ครบวงจร มีลูกค้าระดับไฮเอนด์ และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคู่แข่ง และ 2. การประเมินมูลค่าแบบ DCF บนสมมติฐาน WACC 8.3% และ Terminal growth 2% ซึ่งมูลค่าพื้นฐานคิดเป็น PER ปี 2566 ที่ 25.6-26.3 เท่า ตามลำดับ
ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์แนวโน้มกำไรสุทธิของ SAFE จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2566 เพิ่มขึ้น 29.1% และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 28.3% โดยมีแรงหนุนจากการใช้บริการรักษาผู้มีบุตรยากที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นจากจำนวนรอบการเก็บไข่ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,140 รอบในปี 2565 เป็น 1,300 และ 1,508 รอบในปี 2566-2567 ด้วยอัตราความสำเร็จที่สูงกว่า 70% ของบริษัท โดยได้ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมปี 2567 ไว้ที่ 23.80 บาท อ้างอิงค่า PE อยู่ที่ 27 เท่าและเทียบเท่า PEG อยู่ที่ 0.95 เท่า ต่ำกว่าบริษัทที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันในต่างประเทศ เช่น สหรัฐ และสวีเดน อยู่ที่ระดับ PE 28-35 เท่า ทั้งนี้บริษัทมีสถานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น และเป็นบริษัทที่มีฐานะเป็น net-cash position
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของ SAFE ในปี 2566 อยู่ที่ 197 ล้านบาท ถัดมาในปี 2567 อยู่ที่ 277 ล้านบาท และในปี 2568 อยู่ที่ 315 ล้านบาท จากสมมติฐานรายได้ปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ย 19% ต่อปีเป็น 904 ล้านบาท, 1.1 พันล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท ตามลำดับ สนับสนุนจากอุปสงค์ของลูกค้าไทยและต่างชาติ เพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่ามีอุปสงค์คงค้างจำนวนมากจากลูกค้าจีน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าเหมาะสม 7.2 พันล้านบาท หรือให้ราคาเป้าหมาย 23.70 บาทต่อหุ้น