SAPPE ปิดพุ่ง 9% เก็งงบ Q3 นิวไฮ-อานิสงส์ “น้ำตาล” สินค้าควบคุม
SAPPE ปิดพุ่ง 9% เก็งงบไตรมาส 3/66 นิวไฮ โต 65% พ่วงได้ประโยชน์รัฐไฟเขียวให้ “น้ำตาล” เป็นสินค้าควบคุม ด้านโบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” เป้าราคา 119.40 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2 พ.ย.66)ราคาหุ้นบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ปิดตลาดที่ระดับ 81.50 บาท บวก 6.50 บาท หรือ 8.67% ราคาสูงสุด 84.00 บาท ราคาต่ำสุด 76.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 102.51 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้ด้านนายอเนก ลาภสุขสถิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 ยังคงเติบโตได้ตามกรอบที่วางไว้ โดยทั้งปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายจะมีรายได้เติบโต 30-35% จากปีก่อน ซึ่งการเติบโตในไตรมาส 3/2566 จะเติบโตในกรอบเดียวกันกับการเติบโตทั้งปี 2566 โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มของประเทศ EU (สหภาพยุโรป) ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทเคยประกาศไว้ว่าจะมีการขยายตลาดในกลุ่มประเทศดังกล่าวมากขึ้น ขณะที่ตลาดภายในประเทศ ยังคงมีการเติบโต แต่อัตราการเติบโตจะน้อยกว่าตลาดต่างประเทศ จากการฟื้นตัวของตลาด และการออกสินค้าใหม่ ๆ ต่อเนื่อง
ส่วนภาพรวมของต้นทุนในไตรมาส 3/2566 บริษัทยังคงบริหารจัดการได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมา โดยปัจจัยบวกในช่วงไตรมาส 3/2566 จะมาจากราคาวัตถุดิบมีการปรับตัวลดลง โดยเฉพาะน้ำยาเรซิ่น ซึ่งเป็นวัสดุตั้งต้นในกระบวนการผลิต จากแผนการขายและแผนการทำตลาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาว รวมถึงการสร้าง Global Brand (แบรนด์ระดับโลก) ที่บริษัทได้ปักธงไว้ บริษัทได้มีการทำการตลาดมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 จะมีการปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก โดยเป้าหมายปี 2566 กรอบของค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะไม่เกิน 12% ตามแผน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SAPPE กำหนดราคาเป้าหมาย 119.40 บาทต่อหุ้น โดยคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ทั้งในแง่ของรายได้ และกำไร โดยกำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 3/2566 จะอยู่ที่ 337 ล้านบาท เติบโต 2% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากตลาดในประเทศ และตลาดส่งออกที่มีรายได้เติบโต
โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ายอดขายของ SAPPE ในช่วงไตรมาส 3/2566 ทั้งในประเทศ และในต่างประเทศจะเติบโต 2% จากไตรมาสก่อน มาจากการบริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้นสำหรับตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศที่ยังเข้าไปเจาะตลาดได้ไม่มากพอ ส่วนตลาดต่างประเทศ ที่เป็นดาวเด่น คือ อังกฤษ (มีสัดส่วน 4% ของรายได้) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในไตรมาส 3/2566 แต่การเติบโตของตลาดต่างประเทศโดยรวมยังคงไม่โดดเด่น เพราะบางตลาด เช่น ฝรั่งเศสยังเผชิญความท้าทายจากเหตุชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวางในช่วงต้นไตรมาส 3/2566
นอกจากนี้ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2566 จะเพิ่มขึ้น 1 ppt จากไตรมาสก่อน เป็น 45.5% เนื่องจากบริษัทได้ทำการล็อกราคา PET resin (สำหรับบรรจุภัณฑ์ ซึ่งคิดเป็น 45% ของ COGS (Cost of Goods Sold/Cost of Sales) หรือต้นทุนขาย) ไว้ในระดับที่ดีต่อบริษัท คาดว่าค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหาร (SG&A) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.8 ppt จากไตรมาสก่อน เป็น 22% เพราะในไตรมาสนี้มีค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น เพื่อรักษา brand franchise เอาไว้ ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์คำนวณราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF โดยใช้ปี 2567 เป็นปีฐาน โดยชอบ SAPPE ในแง่แนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว คาดว่ารายได้จะโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ระดับ 20-25% ต่อปี ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังชอบ SAPPE เพราะราคาหุ้นยังไม่แพง โดยคิดเป็น P/E ปี 2567 เพียง 20.3 เท่า ซึ่งถือว่าถูกที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่ม และมองว่าไม่สมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาวของบริษัท
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 31 ต.ค.66 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ(กกร.) ครั้งที่ 3/2566 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกำหนดให้สินค้าน้ำตาลทรายเป็นสินค้าควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เพื่อป้องกันผลกระทบกับประชาชน พร้อมออก 2 มาตรการสำคัญในการดูแล โดยจจะนำมติดังกล่าว เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 31 ต.ค.2566 และจะลงประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เพื่อบังคับใช้ทันที
สำหรับการกำหนดมาตรการกำกับดูแล 2 มาตรการ คือ 1.กำหนดราคาจำหน่ายหน้าโรงงานที่ กก.ละ 19 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาว กก.ละ 20 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และควบคุมราคาจำหน่ายปลีก กก.ละ 24 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาว และ กก.ละ 25 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเท่ากับว่า น้ำตาลทรายจะยังคงจำหน่ายในราคาเดิม ไม่มีการปรับขึ้นแต่อย่างใด ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จะมีการกำหนดราคาตามระยะทางและต้นทุนการขนส่งต่อไป
2.ควบคุมการส่งออกตั้งแต่ 1 ตัน หรือ 1,000 กก. ขึ้นไป โดยต้องขออนุญาตจากคณะอนุกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น มีเลขาธิการ สอน. เป็นประธาน มีรองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นรองประธาน มีตัวแทนจาก สอน.เป็นเลขานุการ และตัวแทนกรมการค้าภายใน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการกำกับดูแลต่อไป เพื่อให้น้ำตาลทรายมีเพียงพอใช้ในประเทศ และไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำตาลทรายของไทย
“การนำน้ำตาลทรายกลับมาเป็นสินค้าควบคุม เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์มีความห่วงใยประชาชน ที่จะได้รับผลกระทบ และปัจจุบันมีความยากลำบากอยู่แล้ว และยังกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอีกเป็นจำนวนมาก จึงต้องเข้ามากำกับดูแล โดยราคาจะยึดที่ กกร.ประกาศ”
อย่างไรก็ดี การดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อย ยืนยันว่า จะไม่ได้รับผลกระทบ ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ตามเดิม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะเป็นผู้เข้าไปดูแล และรัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ส่วนผู้ประกอบการ หรือร้านค้า ขอให้จำหน่ายสินค้าในราคาเดิม เพราะน้ำตาลทรายไม่มีการปรับขึ้นราคาแล้ว ส่วนประกาศของ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) นั้นเป็นประกาศที่ใช้คำนวนตราคาอ้อยสำหรับเกษตรกร ซึ่งจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมก็ต้องดูแลต่อไป
หากมีการขายเกินราคาควบคุม จะมีความผิด มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีกักตุน จะมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยประชาชนหากพบเห็นหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมให้ร้องเรียนสายด่วน 1569 จะเข้าไปตรวจสอบทันที