9 บจ. ลุยซื้อหุ้นคืนเฉียด 3 พันล้าน! เรียกความเชื่อมั่น-ย้ำสภาพคล่องสูง

เปิด 9 บจ. ประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงินเฉียด 3 พันล้าน! ตอกย้ำสภาพคล่องสูง-เพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังราคาหุ้นลงลึก MAJOR-WP- III-SMD-NV-TACC-GENCO-GUNKUL-SMT นำทีม พร้อมลุ้นผลงานไตรมาส 3/66 โตแกร่ง ดันทั้งปีเข้าเป้าตามแผน


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ภาพรวม SET INDEX ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ก.ย.-ต.ค.66) ปรับตัวลดลงเกิน 10% ซึ่งเป็นการลดลงลึกมาก จนมีระดับ PECENTILE สูงกว่า 90% เมื่อเทียบกับข้อมูลที่มีทั้งหมดใน 48 ปีที่ผ่านมา แต่หากไม่มีสงคราม หรือสงครามจบลงเชื่อว่า SET จะฟื้นตัวได้จากหลายปัจจัยเฉพาะตัวหนุน อาทิ 1. รัฐบาลใหม่ทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง

2.เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังปี 66 ดูดีขึ้นคาดเติบโตเฉลี่ยไตรมาสละ 3.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีตัวเร่งเศรษฐกิจ คือ ภาคการท่องเที่ยวการลงทุนภาครัฐฯ การส่งออกและการบริโภคในประเทศ 3.คาดหนุนกำไรไตรมาส 3/66 เติบโตทั้งเทียบไตรมาสก่อนหน้า และเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.Valuation ของ SET อยู่ในจุดที่น่าทยอยสะสมหุ้นทั้ง P/E ปี 66 อยู่ที่ 15.5 เท่า (อยู่ใน ระดับ -1.5 SD), PBV ที่อยู่ 1.34 เท่า (ต่ำกว่าระดับ -2 SD), MEYG ปี 66 อยู่ที่ 3.8 เท่า (สูงกว่าหลาย ๆ ประเทศ), EPS GROWTH ปี 67 อยู่ที่ 12.6% สูงเป็นระดับต้นๆ ในเอเชีย

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจากปัจจัยภายนอกที่สหรัฐมีเปิดขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 1.12 แสนล้านเหรียญ (ต่ำกว่าตลาดคาด 1.14 แสนล้านเหรียญ)และยังมีการคงดอกเบี้ยที่ 5.5% (คงรอบที่ 2) บวกกับข้อมูลจาก FED WATCHTOOL คาดว่าเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือน ธ.ค. ลดลงเหลือไม่ถึง 20% หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ปรับตัวลงแรงถึง -21 BPS. มาอยู่ที่ 4.71% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปกติช่วงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐลดลงก็ปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นกัน

อย่างไรก็ตามภาวะตลาดหุ้นไทยได้ย่อตัวลงมาลึกจนมีหุ้นราคาถูกหลายตัว สังเกตได้จากหุ้นใน SET100 ต่ำ BOOK หรือ PBV<1 เท่า สูงถึง 35 บริษัท จาก 100 บริษัท อาทิ RCL, STA, STGT, IRPC, EGCO, PTTGC, SIRI, BANPU, BBL, KBAMK, CPF, BAM, KTB, TOP, KKP, RATCH, IVL, SCB, TTB, STEC, SPALI, TCAP, PSL,TU, VGI, BCP, SPRC, PTT, BCPG, BLA, AP, SCC, SJWD, ACE และ CKP

อีกทั้งการปรับตัวลงเริ่มเห็นการทยอยประกาศซื้อหุ้นคืนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อช่วยลดความผันผวนของตลาดฯ และเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยตั้งแต่ช่วงต้น ต.ค.66 มีบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน อาทิ MAJOR, WP, III, SMD, NV, TACC ,GENCO GUNKUL และ SMT ดังตารางประกอบดังนี้

ทั้งนี้จากการสำรวจของทีม “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่า กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ที่ประกาศซื้อหุ้นคืน 9  บริษัทดังกล่าว มีวงเงินซื้อหุ้นคืนมูลค่ารวม 2,933.55 ล้านบาท ขณะเดียวการเข้าซื้อหุ้นคืนไม่เพียงช่วยลดความผันผวนของตลาดฯ และเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ยังสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทดังกล่าวมีสภาพคล่องสูงอีกด้วย

สำหรับบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนไม่เกิน 72 ล้านหุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นจำนวนร้อยละ 8.05 ซึ่งไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยจะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 16 ต.ค. 66 ถึงวันที่ 15 ม.ค. 67

บล.กรุงศรีพัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (30 ต.ค.66) ว่ามีแนวโน้มที่ MAJOR จะรายงานกำไรไตรมาส 3/66 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากรายการพิเศษ ทั้งนี้คาดว่ากำไรไตรมาส 3/66 จะอยู่ที่ 94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 356% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/66 ฟื้นตัวเด่นจากเบื้องต้นมีหนังไทย 2 เรื่องทำรายได้สูง และช่วงที่เหลือของไตรมาสยังมีหนังฟอร์มใหญ่รอฉายอีกหลายเรื่อง โดยรวมปรับเพิ่มกำไรหนุนกำไรปี 66 เพิ่มขึ้น 370.2% และในปี 67 เพิ่มขึ้น 3.4% สำหรับการซื้อขายอยู่บนอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ปี 67 อยู่ที่ 14.8 เท่า โดยให้ Yield มากกว่าปีละ 6%

โดยช่วงต้นไตรมาส 4/66 มีภาพยนตร์ไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง 2 เรื่อง คือ “สัปเหร่อ” ซึ่งเข้าฉายวันที่ 5 ต.ค.66 มีรายได้จากการฉายทั่วประเทศกว่า 500 ล้านบาท และ “ธี่หยด” ซึ่งเข้าฉาย 26 ต.ค.66 (MAJOR ร่วมผลิตกับ BEC) มีรายได้จากการฉายทั่วประเทศ 200 ล้านบาท ขณะที่ช่วงที่เหลือของไตรมาสยังมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ทั้งไทยและ Hollywood รอฉายหลายเรื่อง (Fig3) เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ฟื้นโดดเด่นทะลุ 400 ล้านบาทในรอบ 4 ปี โดยยังคงแนะนำราคาเป้าหมายที่ 19.10 บาท

ด้านบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 9/2566  มีมติให้เปิดโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock)  โดยจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนสูงสุดไม่เกิน 15.55 ล้าน หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็น 3% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด คิดเป็นวงเงินซื้อคืนสูงสุดไม่เกิน 60 ล้านบาท กำหนดระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2566  ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2567

ด้านนางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WP เปิดเผยว่า การเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) บริษัทฯจึงตัดสินใจเข้าโครงการซื้อหุ้นคืน ซึ่งการซื้อหุ้นคืนจะทำให้อัตราส่วนทางการเงินดีขึ้น ยังเป็นการแสดงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนโดยจะใช้แหล่งเงินทุนจากสภาพคล่องส่วนเกิน ไม่กระทบกับฐานะทางการเงินแต่อย่างใด

ทั้งนี้บริษัทฯมั่นใจยอดขายปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 800,000 ตัน แบ่งเป็นยอดขายภายในประเทศจำนวน 775,000 ตัน และส่งออก จำนวน 25,000 ตัน ส่วนรายได้รวมคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจพลังงานยังขยายตัวอยู่ในทิศทางที่ดี  ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ราคาก๊าซ LPG ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาในตลาดโลกและที่สำคัญบริษัทฯ  มีจุดกระจายสินค้าภาคครัวเรือนที่ครอบคลุมถึง 168 แห่งทั่วประเทศ ทำให้สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมทุกพื้นที่มากขึ้น  และยังรับรู้รายได้จากการลงทุนในธุรกิจติดตั้งระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์ รูฟท็อป) ซึ่งปัจจุบันได้เซ็นสัญญาลูกค้าไปแล้ว 11 เมกะวัตต์  และมีแผนเพิ่มเติมอีก 4 เมกะวัตต์ในระยะเวลาอันใกล้ โดยบริษัทฯ ยังคงเป้ากำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 20 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566

บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จํากัด (มหาชน) หรือ III เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 5/2566 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงิน ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 25 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 3.10 ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยเป็นการเข้าซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2566 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2567

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14.20 บาท ระบุว่า แนวโน้มกำไรปกติครึ่งหลังปี 2566 ทยอยฟื้นตัวรายไตรมาสหนุนจากปริมาณขนส่งที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปกติช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นฤดูกาลขนส่งสินค้าประกอบกับค่าระวางการขนส่งทั้งทางเรือและทางอากาศ ณ ปัจจุบัน เริ่มชะลอการปรับลดลงและมีโอกาสจะดีขึ้นได้หากจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ด้านธุรกิจ GSA ของ ANI ยังสามารถสร้างส่วนแบ่งกำไรได้อย่างโดดเด่น และการ Spin-off ANI คาดว่าจะเข้าตลาดช่วงไตรมาส 4/66 โดยหลังการระดมทุนมองโอกาสเติบโตใน Reginal ผ่าน JV-Partner

นอกจากนี้ธุรกิจบริการภาคพื้นส่วนแบ่งกำไรจาก AOTGA จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการให้บริการในสนามบินภูเก็ต ดอนเมือง รวมถึงขยายการให้บริการแบบชั่วคราวไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ

บริษัท เซนต์เมด จำกัด(มหาชน) หรือ SMD แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 120 ล้านบาท หรือจำนวนหุ้นไม่เกิน 22 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 9.79% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 มี.ค. 2567

สำหรับ SMD ตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยนำเข้าจากผู้ผลิตต่างประเทศ เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่สถานพยาบาลในประเทศและบุคคลทั่วไป

บริษัท โนวา ออร์แกนิค จำกัด (มหาชน)  หรือ NV เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯครั้งที่ 2/66 มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าโครงการซื้อหุ้น (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงินในวงเงิน 70 ล้านบาท โดยจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือไม่เกิน 5% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด กำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.66-17 พ.ย.66

อนึ่ง NV ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนประกอบหลักมาจากวัตถุดิบที่หลากหลาย ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (OEM) โดยบริษัทจะให้คำปรึกษาและบริการแบบครบวงจร

บริษัท ที. เอ .ซี. คอนซูเมอร์จ ากัด (มหาชน) หรือ TACC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่10 สิงหาคม 2566 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงิน ภายในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 11 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 1.81 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดก าหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่16 กุมภาพันธ์ 2567

โดยก่อนหน้านี้นางจิรพรรณ คชฤทธิ์ ชูแสง รองกรรมการผู้จัดการ TACC เปิดเผยว่า รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่รายได้ในไตรมาสนี้จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เพราะไตรมาส 2 ของทุกปี เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ

ขณะที่ทิศทางการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2566 น่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2566 บริษัทจึงมั่นใจภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคงเป้าหมายรายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,533.43 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 830.85 ล้านบาท

บริษัทบริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) หรือ GENCO เปิดเผยว่า บอร์ดบริษัทได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยมีวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 8 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 112.23 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 10% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยเป็นการเข้าซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.66 ถึงวันที่ 11 ม.ค.67

อนึ่ง GENCO บริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการให้บริการบำบัดและกำจัดกากอุตสาหกรรม และธุรกิจรองด้านอสังหาริมทรัพย์

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 8/2566 เมื่อวันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2566 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นสามัญคืน (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงิน ครั้งที่ 3 ในวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืน ไม่เกิน 1,120 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนสูงสุด ไม่เกิน 380 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท หรือคิดเป็น 4.28% ของทุนที่ออกและชำระแล้ว โดยเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2567

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 ของบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL มองว่าด้วยกระแสลมที่ค่อนข้างแรงในไตรมาส 3 ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่ผลประกอบการดี เบื้องต้นมองเฉพาะกำไรปกติไตรมาส 3/2566 คาดว่าจะเพิ่ม ทั้งไตรมาส 3/2565 ที่มีรายได้รวม 3,335 ล้านบาท และไตรมาส 2/2566 มีรายได้รวม 1,803 ล้านบาท และล่าสุดปริมาณงานในมือ (Backlog) ธุรกิจก่อสร้าง (EPC) ที่เพิ่มขึ้นมาสู่ระดับกว่า 6,000 ล้านบาท ทำให้ยังคงมอง GUNKUL ในเชิงบวกภายใต้ราคาที่รับรู้ข่าวร้ายมามากแล้ว

ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” GUNKUL ที่ราคาเป้าหมายปีนี้ 4.40 บาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจปัจจุบัน (โรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ COD แล้ว และงาน EPC มีมูลค่า 3.20 บาท และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ มูลค่า 1.20 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (PER) ปีนี้ที่ 18.6 เท่า จึงคาดการณ์รายได้ปี 2566 อยู่ที่ 7,527 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,414 ล้านบาท ขณะที่ปี 2567 คาดรายได้ 9,456 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,544 ล้านบาท

สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,203 เมกะวัตต์ รอบล่าสุด เป็นส่วนที่ GUNKUL ได้มา 832 เมกะวัตต์ หรือ MW (แบ่งเป็น ลม 180 เมกะวัตต์, โซลาร์ 652 เมกะวัตต์) จะยังดำเนินการได้ตามกำหนดการ (SCOD) ในปี 2569-2573 ทำให้ GUNKUL ยังมีเวลา โดยไม่ได้รับผลกระทบไปอีกประมาณ 2 ปี แต่หากเลยกำหนดนี้ ถึงจะเริ่มมี Downside ทั้งนี้โครงการทั้ง 832 เมกะวัตต์ของ GUNKUL คิดเป็นมูลค่าหุ้น 1.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งรวมในประมาณการแล้ว

ล่าสุดบริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2566 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่2 พฤศจิกายน 2566 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 55 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 6.6 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท (หลังหักหุ้นซื้อคืนที่ยังไม่จำหน่าย) ภายในวงเงินไม่เกิน 250 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีระยะเวลาซื้อหุ้นคืน 6 เดือน นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2567

Back to top button