โบรกเชียร์ “ซื้อ” CK ชู้เป้า 27 บ. ชี้กำไร Q3 แตะ 620 ล้าน หลังตุนแบ็กล็อก 1.4 แสนลบ.
โบรกแนะ "ซื้อ" CK ราคาเป้าหมาย 27 บาท คาดกำไรไตรมาส 3/66 ที่ 620 ล้านบาท รับรายได้ก่อสร้างทรงตัวสูง 8.9 พันล้านบาท พร้อมตุนแบ็กล็อก 1.4 แสนล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4/66 โตต่อเนื่อง รับรู้ธุรกิจก่อสร้างขยายตัว ทั้งนี้คาดกำไรปกติปี 66 แตะ 1.5 พันล้านบาท นิวไฮในรอบ 5 ปี
บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ซึ่งมีลักษณะการประกอบธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งอื่น โดยมีโครงสร้างทางธุรกิจหลักของบริษัท 2 ประเภทด้วยกัน คือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่หลายรูปแบบ อาทิ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน, ท่าอากาศยาน, โรงไฟฟ้าพลังน้ำ, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, ทางด่วน, ท่าเรือน้ำลึก และธุรกิจการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค ทั้งหมด 3 ด้านคือ ธุรกิจด้านการคมนาคมขนส่ง ธุรกิจด้านระบบน้ำและธุรกิจด้านพลังงาน
โดยล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ออกบทวิเคราะห์ พร้อมระบุว่า ยังคงมีมุมมองบวกต่อกำไรปกติปี 66 ของบริษัท ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูงในรอบ 5 ปี และในปี 67 จะโตต่อเนื่อง โดยได้ปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ Double Deck ของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM พร้อมทั้งแนวโน้มการเร่งโครงการลงทุนของรัฐ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท
โดยคาดการณ์กำไรปกติในงวดไตรมาส 3/66 เติบโตต่อเนื่อง ที่ระดับ 620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากรายได้ธุรกิจก่อสร้างทรงตัวสูงที่ระดับ 8.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 143% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการรวมงานหลวงพระบางตั้งแต่ไตรมาส 1/66 พร้อมทั้งการเซ็นงานใหม่ในไตรมาส 3/66 รวมมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท เป็นปัจจัยหนุนให้ backlog ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 1.4 แสนล้าน บาท เทียบกับงวดไตรมาส 3/65 ที่ระดับ 6 หมื่นล้านบาท
ขณะที่รายได้ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความคืบหน้าของงานหลวงพระบางชะลอตัวหลังเข้าฤดูฝน แต่ได้รับการชดเชยจากรายได้ของโครงการอื่นๆ ที่ทยอยเร่งตัวมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้และทางคู่เด่นชัย, เชียงราย และเชียงของ ซึ่งใกล้เข้าสู่ช่วงการขุดเจาะอุโมงค์ในปีหน้า
สำหรับ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมปรับตัวลดลง 25% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ได้รับผลกระทบ El Nino แต่เพิ่มขึ้น 116% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากผู้โดยสารรถไฟฟ้า BEM ขยายตัวทำสถิติสูงสุดใหม่
อีกทั้ง SG&A/Sale (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) อยู่ที่ระดับ 5.5% ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ระดับ 13% ตามฐานรายได้ธุรกิจก่อสร้างที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ที่ระดับ 5.1% เนื่องจากค่าบริหารโครงการ JV สูงขึ้นตามตามคืบหน้าของงาน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาการกำไรปกติปี 66 ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 67 ที่ระดับ 1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปรับส่วนแบ่งกำไร BEM ลงราว 9% แต่ถูกชดเชยบางส่วนจากการปรับสมมติฐานค่าใช้จ่ายในการบริหารลง หลังบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าคาด
อีกทั้งยังคงประเมินผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/66 จะขยายตัวสูงขึ้นเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก backlog ที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการเริ่มงานหลวงพระบางอย่างเป็นทางการตั้งแต่ไตรมาส 1/66 พร้อมคาดการณ์ทิศทางธุรกิจก่อสร้างจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังมองว่าบริษัทมีโอกาสเติมงานใหม่สูงในปี 67 ได้แก่ โครงการลงทุนของ BEM จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 1 แสนล้านบาท โดยปัจจุบันเหลือเพียงรอคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด 1 คดี
รวมทั้ง โครงการ Double Deck มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีโอกาสเห็นความชัดเจนในต้นปี 67 รวมถึง โครงการลงทุนใหม่ของรัฐ หลังล่าสุด ครม. อนุมัติก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท คาดการณ์ว่าจะเปิดประมูลในปี 67
นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเช่น มอเตอร์เวย์รังสิต-บางปะอิน มอเตอร์เวย์บางขุนเทียน-บางบัวทอง รถไฟทางคู่ ปากน้ำโพ-เด่นชัย ซึ่งมีโอกาสเสนอ ครม. ได้ภายในปีนี้เช่นกัน ด้านนโยบายค่าแรงที่คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นในต้นปี 67 ยังคงมองว่าจะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากปัจจุบันบริษัทจ่ายค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำทั่วไป