เปิด 5 หุ้นโบรกแนะ “ขาย” เซ่นกำไร Q4 อ่อนตัว-ปัจจัยลบกดดัน
เปิดรายชื่อ 5 หุ้นที่ถูกโบรกกำหนดคำแนะนำ “ขาย” เซ่นผลงานไตรมาส 4 มีโอกาสอ่อนตัว รวมถึงมีปัจจัยลบอื่นๆ กดดัน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลบทวิเคราะห์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามี 5 หลักทรัพย์ที่นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ จำกัด ได้กำหนดคำแนะนำเป็น “ขาย” ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN, บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO, บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH, บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA และ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG
สำหรับ LPN รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 56% จากปีก่อน สอดคล้องกับประมาณการ แต่ต่ำกว่าบลูมเบิร์ก คอนเซนซัส ที่ 7% รายได้รายไตรมาสอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน และ 25% จากปีก่อน การโอนรายไตรมาสที่เพิ่มขึ้นได้รับการสนับสนุนจากยอดขายโครงการใหม่และยอดขายจากโครงการที่มีอยู่ ซึ่งเปิดตัวภายใต้แบรนด์ใหม่ โดยในปีที่แล้วด้วยกำไรฐานต่ำ ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตโดยรวมของ LPN ในปีนี้ได้
นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่าแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวยังมีราคาที่ต่ำกว่า ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งสูงกว่าประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิจัย เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการใหม่
ทั้งนี้ กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 66 คิดเป็น 68% ของประมาณการทั้งปี คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นจากการโอนแบ็กล็อกในไตรมาส 4/66 แต่มีความเสี่ยงต่ออัตรากำไรเนื่องจากบริษัทจะต้องโอนจำนวนมากเพื่อให้เป็นไปตามประมาณการ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในการโอนโครงการไปยังไตรมาสสุดท้าย เนื่องจากจำนวนวันหยุด และการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “ขาย” สำหรับ LPN โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 3.40 บาท
ด้าน TVO แนะนำ “ขาย” มูลค่าเหมาะสม 18.80 บาท เนื่องจากมองว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง รวมถึงความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่ลดลง
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการบริโภคอาหารสัตว์ที่อ่อนแอและราคาถั่วเหลืองทั่วโลกที่ลดลง การแข่งขันด้านราคายังมีแนวโน้มที่จะก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งในแผนของ TVO ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตในการบด 17% เป็น 7,000 ตัน/วัน New Normal สำหรับ GPM ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงระหว่าง 6-8% (เทียบกับ 8-12% ก่อนไตรมาส 4/65) ด้านอุปทานส่วนเกินในตลาดน้ำมันถั่วเหลืองยังคงบังคับให้เครื่องบดขายในราคาที่ต่ำมากสำหรับช่องทางการส่งออก ส่วนการผลิตเพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันที่ 23 ก.ย.
สำหรับ PSH มองว่าการกระจายธุรกิจจากธุรกิจที่อยู่อาศัยไปสู่ด้านสุขภาพและการดูแลสุขภาพ การดำเนินงานระยะสั้นและการประเมินมูลค่าได้รับผลกระทบ และอาจพลาดเป้าหมายยอดจองสำหรับที่อยู่อาศัยได้ 20% อ้างอิงจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จึงคงคำแนะนำ “ขาย” มูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 11.00 บาท
ด้าน DELTA คาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาส 4/66 จะค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเหตุการประท้วงหยุดงานของอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. – 23 ต.ค. ซึ่ง น่าจะทำให้มีดาวน์ไซด์ต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเนื่องจากปัญหาการผลิตที่เกี่ยวข้องอาจทำให้การดึงลูกค้าเข้ามาล่าช้า จึงคงคำแนะนำ “ขาย” ด้วยราคาเหมาะสม 67.25 บาท โดยใช้ P/E ที่ 39.5 เท่า (จากเดิม 59.50 บาท) ซึ่งความเสี่ยงหลัก ได้แก่ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเทียบกับ USD รวมถึงความต้องการของเซิร์ฟเวอร์ที่ชะลอตัว และความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์
ส่วน THG คาดการณ์ว่าไตรมาส 4/66 น่าจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของ IPD, OPD และ SSO
อย่างไรก็ตาทม ยังคงคำแนะนำ “ขาย” ต่อไป เนื่องจากการประเมินมูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 47.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ปี 66 ที่ 20 เท่า ซึ่ง ความเสี่ยงที่สำคัญคือ 1) การกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติเร็วกว่าที่คาด 2) การเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลที่สร้างขึ้นใหม่เร็วกว่าคาด และ 3) การปรับปรุงทางเศรษฐกิจ และการกระตุ้นยอดขายของหน่วย Jin