OR อวดกำไร Q3 โต 6 เท่า แตะ 5.2 พันล้าน รับรายได้กลุ่มธุรกิจ Mobility หนุน
OR รายงานงบไตรมาส 3/66 กำไรโต 637% แตะ 5.2 พันล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 701 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Mobility หนุน ดันงวด 9 เดือนแรกกำไรทะลุหมื่นล้านบาท ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศ
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 66 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ดังนี้
นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2566 ว่า บริษัทมีรายได้ขายและบริการ 576,682 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 10,901 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 213 ล้านบาท หรือลดลง 1.9% จากรายได้ขายและบริการและ EBITDA ที่ลดลง โดยหลักเป็นผลมาจากราคาจำหน่ายน้ำมันที่ลดลงโดยเฉลี่ยตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีระดับต่ำกว่ารวมทั้งมีความผันผวนน้อยกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีปริมาณขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของทั้งประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ทั้งนี้ OR ยังคงสามารถรักษาการเป็นผู้นำตลาดน้ำมันและผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants เป็นอันดับหนึ่งในประเทศ และยังคงมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแรงของธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อเป็นฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยกลุ่มธุรกิจ Mobility ของบริษัทมีความหลากหลาย ไม่ได้มีเพียงการขายปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น เท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจด้านพลังงานอื่น ๆ ในกลุ่ม Energy Solution ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายน้ำมันอากาศยานที่เติบโตกว่า 60% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปีก่อน หรือกว่า 80% เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์ COVID-19 โดยมีแนวโน้มเติบโตดีจากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การจำหน่ายน้ำมันเชิงพาณิชย์ ก๊าซหุงต้ม น้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์พิเศษ เช่น ยางมะตอย เป็นต้น เช่นเดียวกับ ธุรกิจ Lifestyle ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งปริมาณการจำหน่ายของ Café Amazon เพิ่มขึ้นกว่า 3% และยังสามารถรักษาระดับ EBITDA Margin ได้ในระดับกว่า 25% ถือว่าเป็นธุรกิจที่ยังแข็งแกร่ง และยังมีโอกาสทางธุรกิจอยู่อีกมาก
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 มีปัจจัยที่อาจส่งผลการดำเนินการของบริษัท ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ ทั้งจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น Flagship Station ต้นแบบสถานีบริการในอนาคตที่ครบครันทั้งด้านบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการผลักดันการสร้างยอดขาย และกำไรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม Energy Solution อีกทั้งยังคงมุ่งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์ อาทิ ด้านสุขภาพและความงาม (Health & Beauty)
โดยยังอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ และด้านการท่องเที่ยว (Tourism) สำหรับด้านต่างประเทศบริษัทมุ่งเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Global เป็น 15% ในปี 2570 โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่บริษัทดำเนินการอยู่ และเพิ่มความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ ได้วางกลยุทธ์ให้ประเทศกัมพูชาซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเป็นบ้านหลังที่ 2
ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้รับการประเมินผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ประจำปี 2566 ที่ระดับ “AAA” ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายใน 3 มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวทาง SDG ในแบบฉบับของ OR เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ