PR9 แย้ม Q4 แจ่ม รับไฮซีซั่น เร่งรีโนเวท OPD จ่อเปิดกลางเดือน พ.ย.นี้

นายแพทย์เสถียร ภู่ประเสริฐ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ผู้ดำเนินธุรกิจสถานพยาบาลเอกชนประเภทรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานโค้งสุดท้ายของปีงวดไตรมาส 4/66 เติบโตโดดเด่น รับช่วงไฮซีชั่นของธุรกิจโรงพยาบาล

ทั้งนี้ เห็นสัญญาณการเข้าใช้บริการรักษาจากผู้ป่วยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมรองรับผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงกลุ่มต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย (Expat) ด้วยการเร่งรีโนเวท OPD บริเวณชั้น 2 อาคาร A เพื่อขยายศักยภาพ (Capacity) ในการรับรองผู้ป่วยนอก คาดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้

ขณะเดียวกันยังเดินหน้าปรับกลยุทธ์ขยายฐานตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศอาหรับที่มีกำลังจ่ายสูง รวมถึงเน้นกลุ่มประเทศ CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมาและเวียดนามที่เริ่มกลับมาใช้บริการด้านสุขภาพในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งได้จัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการหาคนไข้ต่างชาติโดยเฉพาะสำหรับประสานงานหรือติดต่อเอเจ้นท์ต่างชาติ

รวมทั้งบริษัทได้เตรียมเปิดแผนก International Center บริเวณอาคาร A ชั้น 1 อย่างเป็นทางการภายในช่วงไตรมาส 1/67 เบื้องต้นมั่นใจผลักดันสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติขยับขึ้นเป็น 15% ของรายได้รวมภายในสิ้นปีนี้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

“โดยโรงพยาบาลยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์เพื่อเติบโตเป็นบริษัทที่ยั่งยืนในอนาคตด้วยการยกระดับมาตรฐาน เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคยากซับซ้อน ผ่านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญและเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงได้ทำการศึกษาพัฒนาศูนย์แพทย์เฉพาะทางอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ศูนย์โรคมะเร็ง เพื่อต่อยอดความเป็นเลิศทางการแพทย์ ขณะที่ในปีนี้มองเห็นการเติบโตของผู้ป่วยที่ใช้บริการสถาบันโรคไตและเปลี่ยนไตเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ และมีโอกาสได้เห็นจำนวนเคสเปลี่ยนไตทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์” นพ.เสถียร กล่าว

สำหรับภาพรวมผลงานงวดไตรมาส 3/66 บริษัทมีรายได้รวม 1,078.2 ล้านบาท เติบโต 0.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,074.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 140.1 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท โดยรายได้จากคนไข้กลุ่ม Non-Covid ในไตรมาส 3/66 เติบโต 9% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) และกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ รวมไปถึงอัตราเข้าใช้บริการของผู้ป่วยที่รักษาโรคเฉพาะทาง และโรคที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น อาทิ โรคหูคอจมูก, การผ่าตัดเลสิก, การผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและข้อ รวมถึงจำนวนเคสเปลี่ยนไตที่เติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ใช้บริการตรวจสุขภาพ ทั้งกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย, ผู้ป่วยต่างชาติ และกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ในระดับ “AAA” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยมีคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืนผ่านเกณฑ์ในแต่ละมิติ อาทิ การดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน

โดยตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการบริหารจัดการธุรกิจสถานพยาบาลให้ดำเนินอย่างมีความรับผิดชอบต่อลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขัน ช่วยสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ เพื่อเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งในระยะยาว